ปิยบุตร ยกเหตุควรเลิก 112 ชี้ เป็นปัญหาทั้งตัวบท-การบังคับใช้

ปิยบุตร ยกเหตุควรเลิก 112 ชี้ เป็นปัญหาทั้งตัวบท-การบังคับใช้ วอนสังคมมองเหตุผลความจำเป็น เดินหน้ารณรงค์ต้องได้หลักล้านชื่อให้เป็นฉันทมติของสังคม พรรคการเมืองฝ่ายหนุนควรหยุดถากถางกันเอง “ก้าวไกล” ต้องหาแนวร่วม ระบุ 112 คือเรื่องปากท้อง-ลดงบสถาบันอัดฉีดประชาชนได้มากมาย ถามตกลงวันนี้ไทยเป็น ปชต.หรือสมบูรณาญาสิทธิ์

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า จัดรายการพิเศษแอพพลิเคชั่น คลับเฮาส์ และเฟซบุ๊กคณะก้าวหน้า “หมดเวลา 112 ถึงเวลาคืนอนาคตสังคมไทย” วิเคราะห์ประเด็นปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จุดยืนของคณะก้าวหน้า และแนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การรณรงค์สนับสนุนกระบวนการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

โดยนายปิยบุตร กล่าวตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวแล้วตนยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจากเป็นมาตราที่มีปัญหาทั้งในเรื่องของตัวบท การบังคับใช้และอุดมการณ์เบื้องหลัง ในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับตัวบท การอยู่ในหมวดของความมั่นคงในราชอาณาจักร ทำให้แนวทางการวินิจฉัยคดีเป็นเรื่องของการควบคุมอาชญากรรมมากกว่าการรักษาสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน นำไปสู่ทิศทางที่มักไม่ให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว หรือมีการเรียกหลักประกันชนิดที่สูงมาก

“เราเห็นตัวอย่างกันอยู่บ่อยครั้ง การแสดงออกซึ่งไม่เข้ากรอบความผิดเลย แต่ศาลก็ตีความว่าเป็นความผิด ถ้าอุดมการณ์ที่ฝังรากลึกอยู่ในประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยจริง มาตรา 112 จะมีไว้แต่อาจจะไม่ใช้ก็ได้ มันอาจจะกลายเป็นกฎหมายที่นอนหลับอยู่เฉย ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นคนพูดออกมาในที่สาธารณะเอง ว่าที่ผ่านมาไม่ใช้ 112 เพราะอะไร เรามองเป็นอื่นไปไม่ได้เลยว่าสุดท้ายแล้ว 112 จะถูกใช้หรือไม่ถูกใช้ขึ้นอยู่กับบริบททางการเมือง อย่างทุกวันนี้ สถิติการดำเนินคดี 112 เกิดขึ้นกว่า 150 กว่าคดีแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่า 112 มันไม่ใช่ตัวบทกฎหมายแบบธรรมดา แต่มันจะถูกฟื้นชีวิตขึ้นมาเมื่อไรขึ้นอยู่กับบริบททางการเมืองด้วย” นายปิยบุตรกล่าว

Advertisement

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ในโลกสากลทุกวันนี้ ความผิดที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกเริ่มถูกถอดออกจากความผิดทางอาญาแล้ว เหลือเพียงการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่ง หรือเป็นเพียงโทษปรับทางอาญาเท่านั้น ผู้ถูกดูหมิ่น ควรเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าเสียหายหรือไม่และเป็นเพียงเรื่องทางแพ่งระหว่างบุคคลกับบุคคลไป บุคคลที่ดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศก็เช่นกัน กระบวนการยุติธรรมบนโลกสมัยใหม่มีแนวโน้มไปในทิศทาง ว่ายิ่งดำรงตำแหน่งสำคัญ โดยเฉพาะที่ใช้อำนาจรัฐ ยิ่งต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และหมิ่นประมาทได้มากกว่าผู้อื่น หากเจาะจงไปที่กรณีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ ก็จะพบว่าหลายประเทศที่มีกษัตริย์มีความผิดฐานนี้แต่แทบไม่ได้เอามาใช้แล้ว หรือที่เอามาใช้ก็ลงโทษแค่ปรับเท่านั้น มีอยู่ประเทศเดียวที่มีปัญหามากหน่อยคือกรณีของสเปน แต่ก็ถูกศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปลงโทษหลายครั้ง ว่าละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ละเมิดอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนของยุโรป

“ดังนั้น ทิศทางของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประมุขของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือประธานาธิบดี มันมีแต่แนวโน้มที่จะยกเลิกกฎหมายหมิ่นประมาท ถ้าไม่ยกเลิกก็ไม่ใช้ หรือถ้าใช้ก็แค่ปรับ เหลืออยู่ไม่กี่ประเทศ ที่เป็นปัญหา เช่นกรณีของสเปน โมร็อกโก และประเทศไทย แต่ผมยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นสเปน หรือโมร็อกโก เขาไม่ใช้การลงโทษแบบเดียวกับเรา ไม่ใช้การดำเนินคดีร้อยกว่าคดีอย่างประเทศไทยแน่นอน” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร ยังกล่าวถึงระดับการจัดการมาตรา 112 โดยระบุว่าขณะนี้อาจแบ่งได้เป็น 3 แนวทาง คือ 1.การแก้ไขในตัวบท เช่น การแก้ไขให้ลดโทษ หรือแก้เพื่อเพิ่มเหตุยกเว้นความผิด เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ เป็นต้น 2. กึ่งแก้กึ่งเลิก คือการไปเลิก 112 ทั้งมาตราก่อน แล้วจึงร่างกฎหมายฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่ และ 3.การยกเลิกไปเลยอย่างที่มีการรณรงค์อยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้เหตุการณ์เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่กลุ่มราษฎรลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพื่อรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 ได้รับการตอบรับทั้งในด้านสนับสนุนและคัดค้าน ซึ่งต้องยอมรับว่าการผลักดันเรื่องที่ทั้งยากและใหญ่ขนาดนี้ ต้องใช้พลังของทุกส่วนในการเข้ามาผลักดันร่วมกันทั้งในและนอกสภา จริงอยู่แม้กฎหมายให้ใช้เพียง 1.5 หมื่น ชื่อก็สามารถเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาได้แล้ว แต่นั่นย่อมไม่เพียงพอ สิ่งที่ผู้รณรงค์ต้องการคือหลักแสนหรือหลักล้านเท่านั้น ที่จะพอมีแรงกดดันให้สภาต้องยอมรับได้

Advertisement

“การเข้าชื่อเป็นล้านจะช่วยทำให้เสียงของมหาชนถูกทำให้เป็นทางการ ทำให้มีพลังขึ้นมา ไม่ใช่กระจัดกระจายอยู่บนท้องถนน การรณรงค์รอบนี้จึงมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งมีมากเท่าไรเรายิ่งมีโอกาสชนะ ยิ่งน้อยโอกาสสำเร็จก็มีน้อย พยายามทำให้ฝ่ายที่ไม่อยากแตะต้อง 112 กลายเป็นคนส่วนน้อยของสังคมให้ได้ นี่คือการสร้างฉันทามติในสังคม” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องรณรงค์อย่างต่อเนื่อง หาพวกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องไปคุยเพื่อให้เปลี่ยนใจ ดังนั้น ท่าทีของการสื่อสารต้องมีความหลากหลาย ระดมคนเข้ามาให้มากที่สุด นักวิชาการปัญญาชนที่สนับสนุนต้องมาช่วยกันสื่อสาร และที่สำคัญ ผู้ที่สนับสนุนพรรคการเมืองต่างพรรค ควรหยุดถากถางกันเอง โดยเฉพาะในฝ่ายพรรคก้าวไกลที่รณรงค์เรื่องนี้มาก่อน ควรแสดงความยินดีหากมีพรรคการเมืองอื่นมาร่วมผลักดันวาระสำคัญนี้ด้วยกัน ส่วนผู้ที่ยังไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรา 112 ผู้ที่จงรักภักดีอย่างจริงใจหลายคน หากไม่หลอกตัวเองจนเกิดไปควรจะต้องเห็นปัญหาของการใช้มาตรา 112 และควรต้องเข้าใจว่าการรักษาสถาบันกษัตริย์ที่ดีที่สุดย่อมไม่ใช่การไล่ฟ้องไล่ขังคน เพราะมีแต่จะทำให้ฝ่ายปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ยิ่งแรงขึ้น

“ดูประเทศอื่นเขาใช้วิธีอะไร ที่ประเทศอังกฤษมีกลุ่มอยากยกเลิกสถาบันกษัตริย์อยู่เต็มไปหมด แต่สำรวจกี่ทีก็เป็นส่วนน้อย สถาบันกษัตริย์อังกฤษก็ยังอยู่ มีคนเอาควีนอลิซาเบธไปล้อเลียนเต็มไปหมดทำไมเขาอยู่ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเปิดให้พูด เปิดให้คุย เปิดให้ล้อเลียน แล้วทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นคนกลุ่มน้อยของสังคม วิธีนี้ต่างหากที่จะรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้ได้ เราเดินทางมาไกลจนย้อนกลับไม่ได้แล้ว ผมอยากจะชวนฝ่ายอนุรักษ์นิยมฝ่ายที่ประกาศตัวว่าเป็นเป็นผู้จงรักภักดี ลองคิดเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง” นายปิยบุตร กล่าว

ทั้งนี้นายปิยบุตรยังได้ตอบคำถามว่าเหตุใดจึงไม่เรียกร้องในเรื่องของปากท้องให้ประชาชนก่อน ว่า การรณรงค์นั้นสามารถทำได้หลายเรื่องพร้อม ๆ กัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น และที่สำคัญ เรื่องของมาตรา 112 ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชนโดยตรงด้วย
ทั้งนี้ เพราะรายจ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ประเทศไทยตั้งไว้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งในส่วนราชการในพระองค์และในส่วนราชการอื่น รวมกันแล้วมีมากถึง 3-4 หมื่นล้านบาทต่อปี ที่สามารถเอามาทำสวัสดิการ แก้ไขปัญหาปากท้อง อัดฉีดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจได้ แต่ปัจุบันมาตรา 112 ทำให้เกิดข้อจำกัดในการอภิปรายพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา ไม่สามารถตัดทอนปรับเปลี่ยนงบประมาณส่วนนี้ให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและความต้องการของ ประชาชนได้ ซึ่งย่อมเป็นเรื่องของปากท้องประชาชนโดยตรง

“เยาวชนที่พูดถึงเรื่องนี้ต้องถูกดำเนินคดีมาตรา 112 หรือไม่ต้องอื่นไกล เพื่อนผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พูดเรื่องวัคซีนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศจริง แล้วก็ถูกด้วยที่พูด กลับโดนดำเนินคดีมาตรา 112 สิ่งที่ธนาธรพูดเกี่ยวกับชีวิตของผู้คน ชีวิตของพี่น้องประชาชนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถามว่าเรื่องของมาตรา 112 มันโยงกับปากท้องได้ไหม มันย่อมเกี่ยวข้องแน่นอน บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทยแทรกซึมอยู่ในทุกอณูแล้ว ถ้าเราเปิดให้มีการวิจารณ์พูดถึง ให้สามารถติชมอย่างสุจริตใจเพื่อประโยชน์สาธารณะและเพื่อประโยชน์ของสถาบันกษัตริย์ได้ ผมว่ามันเป็นประโยชน์กว่าแน่นอน ดีกว่าเอา 112 มาปิดปากกันแบบนี้”นายปิยบุตรกล่าว

ส่วนกรณีข้อโต้แย้งว่าหากไม่ได้ทำผิดแล้วจะกลัวทำไม นายปิยบุตร กล่าวว่า นี่คือตรรกะที่ผิดเพี้ยนที่สุดที่ตนได้ยินมา เคยได้ยินตั้งแต่รณรงค์เรื่องนี้มาเมื่อสมัย ครก.112 หากจะอ้างแบบนี้ หมายความว่าประเทศนี้จะแก้กฎหมายอาญาไม่ได้เลยหรือ การแก้กฎหมายอาญาย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ถ้ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของสังคมอีกต่อไป กฎหมายใดก็ตามที่กำหนดให้มีความผิดอาญา มีหลักสำคัญคือหลักความได้สัดส่วน ความพอสมควรแก่เหตุระหว่างการกระทำอันเป็นความผิดกับโทษ ถ้าหากการกระทำนั้นเป็นความผิดที่มีลักษณะที่ร้ายแรงโทษก็สูง แต่ถ้าเป็นการกระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรงโทษก็ต้องลดหลั่นลงไป ตนถามว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทต่อพระมหากษัตริย์ร้ายแรงถึงขนาดต้องเอาเข้าคุก 3-15 ปีเลยหรือ กฎหมายแบบนี้เป็นอารยะหรือ เราต้องการปรับเพื่อให้กฎหมายทันสมัยขึ้น กฎหมายต้องเป็นไปตามยุคตามสมัย

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากตัวบทและการบังคับใช้แล้ว มาตรา 112 ยังมีปัญหาในเชิงอุดมการณ์อีกด้วยนั่นคือการที่มีคนบางกลุ่มยังมีวิธีคิดว่าประเทศไทยเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ ทั้งๆ ที่ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดว่าปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เท่ากับความมั่นคง หากประเทศนี้เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์การหมิ่นประมาทกษัตริย์อาจจะเข้าข่ายเรื่องความมั่นคงในราชอาณาจักรได้ แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว การที่มาตรา 112 อยู่ในหมวดความมั่นคงจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image