‘วิโรจน์’ ชี้ ร่างแก้ไขม.112 ของ ‘ก้าวไกล’ สถานการณ์เปลี่ยน การตัดสินใจต้องเปลี่ยน ลั่น พร้อมฟังเสียงปชช

‘วิโรจน์’ ชี้ ร่างแก้ไขม.112 ของ ‘ก้าวไกล’ สถานการณ์เปลี่ยน การตัดสินใจต้องเปลี่ยน ลั่น พร้อมฟังเสียงปชช.

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่รับสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่เสนอแก้ประเด็นนี้ ว่า การแก้ไขมาตรา 112 เป็นการดำเนินการของเราเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ หรือ 9 เดือนที่ผ่านมาว่า การแก้ไขน่าจะเป็นทางออกที่โอบรับบุคคลทุกฝ่ายที่พอจะมีฉันทามติร่มกันได้ แต่ปรากฎว่าสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะมาตรา 112 ถูกใช้อย่างล้นเกิน และพร่ำเพรื่อ วันนี้มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากมาตรา 112 มากเป็นประวัติการ จนสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นคดีการเมืองแล้ว อาจจะไม่ใช่คดีอาญาแล้ว ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนเราก็ต้องทบทวนว่าร่างที่เรายื่นไปเมื่อ 9 เดือนก่อน ยังสอดรับกับสถานการณ์หรือไม่ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน การตัดสินใจต้องเปลี่ยน วันนี้เราออกมาตามว่า 9 เดือนที่ผ่านมาเหตุใดจึงไม่มีอะไรคืบหน้า การแก้ไขที่อาจจะยอมรับได้ในวันนั้น วันนี้ประชาชนเรียกร้องมากขึ้นกว่านั้นแล้ว เพราะมีการปล่อยให้มีการใช้มาตรา 112 ที่พร่ำเพรื่อ เกิดการฟ้องร้องกันเต็มไปหมด แต่ละคนโดนคดีมากกว่า 1 คดี และอาจจะต้องติดคุกกันเป็นสิบๆปี คำถามคือ คนที่โดนมาตรา 112 เปิดชื่อมา บุคคลเหล่านั้นไม่ใช่อาชญากรต่อชาติบ้านเมืองเลย หลายคนตั้งคำถามว่า คนที่ก่ออาชญากรรม เช่น ค้ายาเสพติด ฆาตกร ยังไม่ถูกลงโทษขนาดนี้เลย ตกลงแล้วเขาสมควรได้รับโทษเยอะขนาดนี้หรือไม่ ดังนั้น จากการเสนอแก้ไขเมื่อ 9 เดือนก่อน วันนี้พรรคก้าวไกลต้องกลับมาทบทวนแล้วว่า มันตอบรับกับสถานการณ์หรือไม่ แต่เราต้องคิดถึงการโอบรับคนอื่นด้วย เพราะขนาดแค่การแก้ไขยังไม่มีพรรคการเมืองใดลงชื่อร่วมกันกับเราเลย เราก็ต้องคิดถึงมือในสภาด้วย เพราะถ้ามือในสภายกผ่านจึงจะเกิดการแก้ไข ดังนั้น ความพยายาม หรือการผลักดันจากภาคประชาชนที่จะให้มีการยกเลิกมาตรา 112 พรรคก้าวไกลก็รับฟัง

“เราไม่สามารถใช้ความกลัว ใช้การลงโทษที่รุนแรงเพื่อให้เกิดการยอมรับอย่างเต็มใจได้ การอยู่ร่วมกันในสังคมยุคใหม่ต้องอยู่ด้วยการโอบรับ และเห็นคุณค่าในความแตกต่างหลายหลายซึ่งกันและกัน ซึ่งโทษตามกฎหมายต่างๆเป็นกติกาที่ตกลงร่วมกันเพื่อให้สังคมผาสุข ไม่ใช่ตกลงร่วมกันเพื่อทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมจำนน รู้สึกอึดอัด หรือรู้สึกไม่พึงพอใจ ไม่อย่างนั้นสังคมจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าจะการแก้ไขก็ดี หรือการยกเลิกก็ดี พรรคก้าวไกลพร้อมที่จะรับฟัง และผลักดันรออยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องโอบรับความเห็นอื่นๆ และคำนึงถึงโอกาส หรือวิธีการที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง” นายวิโรจน์ กล่าว

เมื่อถามว่า ตอนนี้เสียงก้าวไกลไม่พออยู่แล้วในการแก้ไขในสภา ก้าวไกลจะมีแนวทางผลักดันอย่างไรต่อไป นายวิโรจน์ กล่าวว่า อันดับแรก ส.ส.ของเราทุกคนต้องเร่งทำการบ้าน รวบรวมปัญหา และความเห็นของประชาชนทุกกลุ่ม วันนี้ไม่ใช่ว่าใครต้องเริ่มก่อน แต่ต้องเริ่มไปพร้อมกัน ก.ก.เองก็ต้องขยับในสภาด้วย ข้างนอกก็ต้องขับเคลื่อนด้วย เป็นการเติมกำลังใจกัน ตนคิดว่า เรื่องนี้เราต้องอดทน และอย่าล้มเลิกความตั้งใจ

เมื่อถามว่า จะมีการหาว่าก้าวไกลไปปลุกม็อบอีกหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนขอถามว่า วันนี้ถ้าพรรคก้าวไกลเงียบ คุณคิดว่าสังคมหยุดไหม ตนกลับคิดว่า ถ้าวันนี้พรรคก้าวไกลเงียบวันนี้ ภาคประชาชนจะยิ่งรุนแรง เพราะไม่มีทางระบายออกเชิงระบบที่เป็นไปได้ ดังนั้น ข้อกล่าวหาว่าพรรคก้าวไกลปลุกม็อบนั้นต้องตั้งคำถามว่าภาคประชาชนตั้งคำถามกับพรรคก้าวไกลไหม วันนี้ภาคประชาชนตั้งคำถามกับพรรคก้าวไกลอย่างรุนแรง วันนี้ในสภาเราเป็นพรรคที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ชัดเจนมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เรายังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากภาคประชาชนว่าเราตอบสนองเขาน้องเกินไป ซึ่งตนขอบันทึกไว้ตรงนี้ว่า ตนไม่ได้รู้สึกไม่ดีต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนเลย และเป็นความชอบธรรมของภาคประชาชนที่จะเรียกร้องมากกว่าสิ่งที่เราทำ เราก็ต้องน้อมรับและสกัดเอาแก่นของความคิดเห็นเหล่านั้นมาประมวล วันนี้เรามองว่า พรรคการเมืองไม่ควรที่จะแข็งตัว เพราะไม่อย่างนั้นถ้าพรรคเราเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 10 ปีก่อน เราก็ยึดจุดยืนเมื่อ 10 ปีก่อนหรือ วันนี้โลกเปลี่ยน ความต้องการของสังคมเปลี่ยน พรรคการเมืองต้องรับฟังประชาชนอูยู่เรื่อยๆ หากเสียงเรียกร้องของประชาชนเปลี่ยนไป ก็เป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมืองจะต้องเปลี่ยนท่าทีเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้น บางครั้ง เรารอให้สังคมมีฉันทามติกับถ้วนทั่วก่อนไม่ได้ ถ้าเราเชื่อว่า โลกยุคใหม่ควรเป็นอย่างไร แล้วมีประชาชนที่เชื่อมั่นตรงกันกับเรามากเพียงพอ การปักธงความคิด และการสื่อสารทางความคิดก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะโอบรับประชาชนไปด้วยกัน และยอมรับในความแตกต่าง ที่เห็นไม่ตรงกันกับเรา เราก็ต้องยอมรับ

Advertisement

เมื่อถามถึงท่าทีของพรรคดเพื่อไทย (พท.) ที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะเอาด้วย แต่ตอนหลังก็เปลี่ยนท่าทีไป นายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีพรรคพท. คงต้องไปถามพรรคพท.เอง แต่การทำงานของพรรคก้าวไกล. เราคงจะโฟกัสที่การทำงานของก้าวไกล เรื่องของพรรคพท. เราคงต้องหารือกันในวิปฝ่ายค้าน ซึ่งเราก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของเขา และประชาชนก็ต้องติดตามท่าทีของแต่ละพรรคเอง ตนคงไม่ไปวิจารณ์การทำงานของพรรคพ.ท. เราไม่ได้น้อยใจอะไร แต่เราก็เข้าใจสถานการณ์ว่า เสียงในการแก้ไขเริ่มไม่เพียงพอแล้ว เราก็ต้องทำงานหนักขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image