‘สาธิต’ เผย ‘โอไมครอน’ ยังไม่เข้าไทย เร่งหาวิธีตรวจจับ-สกัดเชื้อ

‘สาธิต’ เผย ‘โอไมครอน’ ยังไม่เข้าไทย เร่งหาวิธีตรวจจับ-สกัดเชื้อเข้าไทย เล็งทบทวนคงใช้ RT-PCR นทท. เหมือนเดิม รับ ห่วงหลุดเข้าช่องทางธรรมชาติ

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการรับมือโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน (Omicron) ว่า ขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้มีมาตรการป้องกันในระดับแรกแล้ว ส่วนการตรวจจับค้นหาเชื้อโอไมครอนจะเดินทางเข้ามาในประเทศจะต้องทำเต็มที่ รัดกุม และทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ที่มีการปรับแผนอนุญาตให้ตรวจแบบ ATK แล้วสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้แทนการตรวจ RT-PCR ในประเทศกลุ่มเสี่ยงที่เข้ามาในไทย ขณะนี้จะต้องมีการทบทวนขยายเวลายังคงใช้ RT-PCR เหมือนเดิม ซึ่งเป็นมาตรการเข้มข้นเพื่อการตรวจจับค้นหาโอไมครอนที่จะมาจากต่างประเทศ ส่วนที่มีการเสนอในหลายๆ รูปแบบจะต้องมีการติดตามข้อมูลให้มีความชัดเจนมากที่สุด

นายสาธิต กล่าวต่อว่า ตนได้สั่งการไปที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทุกศูนย์ของกรมวิทย์ฯ รวมทั้งภาคีเครือข่ายจะต้องมีวิธีตรวจจับหาโอไมครอนให้ได้ดีที่สุด แต่ขณะนี้โดยเทคนิคมีการประเมินว่าถ้าเชื้อเป็นเดลต้าบางส่วนและอัลฟ่าบางส่วนให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นโอไมครอน และในสเต็ปต่อไปจะมีน้ำยาตรวจจับโอไมครอนโดยตรง

นายสาธิต กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถมีวัคซีนกับยาไปดักหน้าไวรัสทุกสายพันธุ์ เรามีแต่การติดตามข้อมูลให้เร็วที่สุด ส่วนบริษัทวัคซีนเขาก็คงจะเริ่มคิดค้นมีข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อศึกษาวิจัย ทำวัคซีนเพื่อสู้กับการกลายพันธุ์ ฉะนั้นไม้ตายของประชาชนจะต้องรักษามาตรการป้องกันแบบครอบจักรวาลซึ่งเป็นสิ่งที่ป้องกันไวรัสได้ทุกสายพันธุ์ แต่อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งตื่นตระหนกมากเกินไปเพราะการติดตามข้อมูลยังไม่มากพอ หากถามว่าไวรัสโอไมครอนมีการแพร่กระจายได้เร็วมากกว่าเดลต้ากี่เท่าหรือไม่อย่างไร และเท่าที่เห็นยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นในกลุ่มคนอายุเท่าไหร่จึงต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนจริงๆ ถ้ามีข้อมูล 2 ส่วนนี้จึงจะหน้าตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลจากทุกศูนย์ของกรมวิทย์ฯ และเครือข่าย 300 กว่าแล็ป ว่าโอไมครอนหลุดลอดมาในประเทศไทย แต่โดยธรรมชาติจะเริ่มป้องกันได้ยากสำหรับการแพร่ระบาดของทุกไวรัส แม้จะป้องกันได้ทั้งทางอากาศ แต่ห่วงช่องทางธรรมชาติซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ทั้งนี้ การตรวจจับให้เร็วที่สุดจะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด จึงจะพยายามทำให้ดีที่สุดในการป้องกันอย่างเข้มข้น แต่โดยธรรมชาติเวลาโรคระบาดจะไปทั่ว ถ้าหยุดการเดินทางจริงๆ ต้องหยุดทั้งโลก ซึ่งสุดท้ายคือต้องหาวัคซีนมาป้องกันให้ได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image