‘เสธ.อู้’ชี้ ขั้นตอนกรธ.เยอะเกิน ส่อทำเลือกตั้งเลื่อนเป็น เม.ย.61

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ที่มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่ออภิปรายแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ เบื้องต้น ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)พิจารณาเสร็จแล้วเป็นวันที่ 2 โดย ร.อ.ทินพันธุ์ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้นจะมีการลงมติ

-กมธ.พลังงาน ชี้รธน.ออกแบบให้รัฐอ่อนแอ

เริ่มอภิปราย โดยนายคุรุจิต นาครทรรพ ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน อภิปรายว่า เห็นด้วยกับการบัญญัติคุ้มครองพระพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญ และคุ้มครองศาสนาอื่นอย่างเท่าเทียมกัน และรัฐไม่ควรประกอบกิจการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่การรักษาผลประโยชน์ส่วนร่วมของประเทศ ส่วนเรื่องที่มานายกรัฐมนตรี ที่กรธ.บัญญัติว่าพรรคการเมืองจะต้องเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ 3 ชื่อนั้น ตนเป็นห่วง จึงเห็นว่ากรธ.ควรกำหนดให้ชัดเจนว่า หากนายกฯที่เป็นส.ส.จะต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ แต่หากเป็นนายกฯคนนอกต้องได้รับเสียง 2 ใน 3 ขึ้นไป นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังออกแบบให้รัฐบาล และพรรคการเมืองอ่อนแอ เพราะทำให้พรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้รับเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ส่วนที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความรับผิดชอบและเพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็ควรต้องมีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่เขียนรัฐธรรมนูญเสียเอง

จากนั้นนายวิทยา แก้วภราดัย สปท.ได้ลุกขึ้นทวงถามถึงเหตุผลที่ประธานระบุว่าต้องมีการลงมติหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น ซึ่งร.อ.ทินพันธุ์ กล่าวเพียงว่า จะชี้แจงเหตุผลหลังประชุมเสร็จสิ้น ทำให้นายวันชัย สอนศิริ สปท.ลุกขึ้นท้วงติงเช่นกันและเสนอแนวทางในการลงมติว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ต้องรวบรวมผลการอภิปรายของสมาชิกทุกคนแล้วก็ควรที่จะให้เจ้าหน้าที่จัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ ส่งให้วิปสปท.พิจารณา เพื่อให้นำมาให้สมาชิกได้อ่าน และลงมติว่าเห็นด้วยกับรายงานดังกล่าวหรือไม่ก่อนที่จะส่งให้กรธ.ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ ทำให้ทั้งนายนิกร จำนง และนายวิทยา สนับสนุนแนวคิดนี้

ในที่สุดประธานสปท. ยอมชี้แจงแนวทางการลงมติว่าในการลงมติ ดังนี้ 1.สมาชิกสปท.เห็นควรรวบรวมความเห็น ข้อเสนอแนะของสมาชิกเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญเบื้องต้นในวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ ส่งให้กรธ.พิจารณาหรือไม่ และ2.เห็นควรให้กมธ.ขับเคลื่อนฯแต่ละคณะส่งความเห็นเป็นเอกสารเพื่อส่งให้กรธ.หรือไม่ ทั้งนี้ตนได้ชี้แจงไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมว่า ให้สมาชิกอภิปรายเป็นรายประเด็น และให้เสนอการปฏิรูปอย่างน้อยคนละอนุมาตราเพื่อส่งให้วิปสปท.พิจารณา และกมธ.ขับเคลื่อนฯแต่ละคณะ เสนอความเห็นร่างรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรส่งให้กรธ.ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ก่อนเวลา 12.00 น. ดังนั้น เมื่อมีสมาชิกเสนอแนวทางมาตนจะรับมาพิจารณา

-“เสธ.อู้”ห่วงบัตรเลือกตั้งใบเดียวทำพรรคเล็กเสียประโยชน์

ADVERTISMENT

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกสปท. กล่าวว่า เห็นด้วยกับระบบเลือกตั้งส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ แต่อยากทราบข้อดีของการใช้บัตรใบเดียว รวมถึงความง่ายและการประหยัดงบประมาณคุ้มกับการที่จะเลือกพรรคและเลือกคนในใบเดียวหรือไม่ และคนที่เสียประโยชน์มีมากน้อยแค่ไหน เท่าที่พบพรรคเล็กจะเสียประโยชน์มาก พรรคเหล่านี้จะไม่มีโอกาสได้คะแนนบัญชีรายชื่อจากคนที่สนับสนุนเลย ทั้งนี้มาตรา 86 อนุ 4 จะมีปัญหาแน่นอนในการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อจากผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมด เพราะหลักการคำนวณยังไม่ชัดเจนเพียงพอ และวิธีการคิดเช่นนี้อาจทำให้มีพรรคที่ได้ส.ส. 1 คนหลายพรรคถือเป็นจุดอ่อนของระบบนี้

-จี้เขียนที่มาส.ว.ให้ชัดเจน หวั่นเกิดปัญหาช่วงเขียนกม.ลูก

พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวต่อว่า ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว จะทำให้คนที่ได้เป็นส.ส.ต้องอกสั่นขวัญหายในช่วง 1 ปี เพราะหากกกต.แจกใบแดง ก็ต้องมาคิดคำนวณคะแนนในส่วนของพรรคที่ถูกใบแดงใหม่ อาจจะทำให้พรรคที่ถูกใบแดงเสียที่นั่งส.ส.บัญชีรายชื่อได้ ส่วนการได้มาซึ่งส.ว. อยากให้บัญญัติให้ชัดเจนกว่านี้ เพื่อป้องกันปัญหาช่วงของการร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เนื่องจากขณะนี้กรธ.ระบุวิธีการได้มาจากการเลือกกันเองและการเลือกไขว้ไว้เท่านั้น ขณะที่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ให้พรรคการเมืองเสนอชื่อล่วงหน้า 3 คนนั้น อยากฝากเพิ่มเติมคือ ในกรณีที่พรรคการเมืองเสนอชื่อคนเป็นนายกฯที่ไม่ใช่ส.ส. ถ้าสภาฯจะลงมติเลือกควรมีเสียงส.ส.สนับสนุนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนส.ส.ทั้งหมดในสภา

-ระบุ ขั้นตอนมาก ส่อทำเลือกตั้งลากไปเม.ย. 61

พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า สำหรับโรดแมปเลือกตั้ง ส่วนตัวมองว่าสามารถเลือกตั้งได้ถึงเดือนเมษายน 2561 เพราะกระบวนการของกรธ.ยืดยาวมาก ถ้าเขียนไม่กระชับจะไม่เป็นไปตามโรดแมปที่นายกฯพูด เพราะกรธ.มีขั้นตอนทั้งการพิจารณากฎหมายลูก10 ฉบับ ในเวลา 8 เดือน การส่งให้สนช.พิจารณาอีก 2 เดือน รวมทั้งการให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระถูกสอบความชอบธรรมของกฎหมาย ซึ่งอาจจะต้องส่งกลับไปให้สนช.แก้กฎหมายอีก แค่ขั้นตอนการปรับแก้กฎหมายเลือกตั้งก็ใช้เวลากว่า 1 ปีแล้ว ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญตามมาตรา 253 มีโอกาสเป็นศูนย์ เพราะโอกาสที่ฝ่ายค้านในประเทศไทยจะโหวตให้รัฐบาลไม่มีทาง จึงไม่มีโอกาสแก้รัฐธรรมนูญได้เลย อีกทั้งบางเรื่องจะแก้ไขได้ต้องผ่านการทำประชามติ จึงคิดว่าเมื่อรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศิลาจารึก ก็ควรแก้ไขได้ตามความเหมาะสม

พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตเรื่องสมัยการประชุมสภาฯที่ตามร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีเฉพาะสมัยประชุมสามัญปีละ 2 ครั้งเท่านั้น ไม่มีสมัยนิติบัญญัติเหมือนที่ผ่านมา จะทำให้การออกกฎหมายล่าช้า รวมถึงเรื่องหลักนิติธรรมในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีเพียงแค่ 2 มาตราเท่านั้น ทั้งที่การทำงานของบ้านเมืองและหน่วยงานต่างๆ จะใช้คำว่าหลักนิติธรรมตลอด