‘ชัชชาติ’ ชูนโยบายฟื้นเมือง-ศก.-ขีดเส้นค่าตั๋วบีทีเอสไม่เกิน 35 บาท ยินดีมีคู่แข่งชิงผู้ว่าฯกทม.
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หนึ่งในว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยผ่าน ‘มติชน’ ว่าถ้าลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จะลงในนามอิสระ ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเพื่อทำนโยบาย ตอนนี้รอว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อไหร่ แต่จะมีการเลือกตั้งในปี 2566 ตนก็ยังไม่รู้ว่าจะรอไหวหรือไม่ ส่วนทีมงานยังไม่มีการวางตัว แต่มีทีมที่ปรึกษามาช่วยทำข้อมูลมากกว่า เช่น ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ มาช่วย think tank
- ยินดีมีคู่แข่ง เพิ่มทางเลือกคน กทม.
ส่วนเรื่องผู้สมัครเป็นเรื่องที่น่ายินดี มีคนเก่งๆ มาเสนอตัว การจะมีตัวเลือกที่ดีได้ต้องมีตัวเลือกมากๆ คุณสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ก็เป็นคนเก่ง ท่านผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากรก็มีผลงานที่ดี ท่านผู้ว่าฯอัศวินท่านก็รู้งานเพราะทำมานาน และก็รออีกหลายพรรคที่จะเปิดตัว ผมมองว่าเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องความสวยงามของระบบประชาธิปไตยที่มีตัวให้เลือก และแข่งขันกันที่นโยบาย
“เรื่องของโพลที่ให้ผมเป็นอันดับหนึ่งนั้นก็อย่าไปยึดถือมาก เพราะว่าผมเปิดตัวมาก่อน ชื่อก็เลยยังค้างๆ อยู่ รอคนอื่นเขาเปิดตัว เราก็คงลดลง และคงจะใกล้เคียงกันมากขึ้น”
เมื่อถามว่ามีพรรคใหญ่ๆ มาจีบบ้างหรือไม่ นายชัชชาติกล่าวว่า ไม่มี เพราะผมออกตัวไปแล้วว่าจะลงในนามอิสระ จึงไม่มีใครเข้ามาจีบ ถ้าเกิดลงในนามพรรคคนอาจจะเบื่อการเมืองก็ได้ ผมว่าการเมืองระดับท้องถิ่นไม่ใช่เรื่องเชิงนโยบายระดับแก้รัฐธรรมนูญ เป็นเชิงปฏิบัติมากกว่า บางทีท้องถิ่นอาจจะไม่ต้องเป็นแบบพรรคก็ได้ ดูตัวอย่างองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ก็มีคนที่เป็นอิสระเข้ามามาก
- ชู 4 ด้าน ปั้น กทม.เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน
นายชัชชาติกล่าวว่า สำหรับนโยบายเน้น 4 ด้าน ภายใต้สโลแกน เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ประกอบด้วย 1.People เรื่องคน เน้นระบบเส้นเลือดฝอยและคุณภาพชีวิต 2.Digital เรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล ต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลดขั้นตอน 3.Green เรื่องสิ่งแวดล้อม เน้นเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม ขยะ ควันพิษ ฝุ่น 4.Economy เรื่องเศรษฐกิจ เพราะเมืองอยู่ได้ด้วยเศรษฐกิจ ตอนนี้เศรษฐกิจมีปัญหาเมืองต้องมาช่วยดูแลเรื่องเศรษฐกิจของคนให้มากขึ้น พยายามสร้างโอกาสคน ลดขั้นตอน หนุนให้เศรษฐกิจฟื้นคืนมา
“เรื่องปากท้องเราก็ต้องดูแล ปัจจุบันเป็นปัญหาใหญ่ ยิ่งโควิดมารัฐคงต้องเข้าไปดูในสิ่งที่ช่วยเหลือได้ ส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง ดูแลตัวเองมากขึ้น แต่ กทม.เองคงไม่สามารถเอาเงินไปแจกได้ เป็นหน้าที่รัฐบาลกลางที่จะต้องทำโครงการต่างๆ กทม.จะไปช่วยดูแลอำนวยความสะดวก เช่น ที่ทำมาหากิน ทำยังไงให้ประชาชนที่เข้าไปไม่ถึงมีที่ค้าขาย จัดบริเวณให้มีการค้าขาย หรือลดกฎระเบียบต่างๆ ช่วยเรื่องความปลอดภัยจากโควิด เช่น จัดอุปกรณ์ตรวจโควิดให้กับร้านค้า ลดค่าใช้จ่ายให้ เรื่องเศรษฐกิจสำคัญเพราะที่ผ่านมา กทม.ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องปากท้องการทำมาหากินเท่าไหร่ เป็นโจทย์ใหญ่ เพราะเมืองอยู่ได้ด้วยเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจของคนไม่ดีเมืองก็อยู่ไม่ได้ ดูอย่างงบประมาณของ กทม.ปีนี้ลดไป 20% เก็บภาษีก็ไม่ได้ ฉะนั้น เศรษฐกิจเมืองไปไม่ได้ กทม.ก็อยู่ไม่ได้ หัวใจคือเมืองเรามาอยู่เพราะมีงาน เมืองคือตลาดของงาน ถ้าเกิดงานไม่ดีเมืองก็ลำบาก“ นายชัชชาติกล่าวและว่า
- เพิ่มหน่วยพัฒนาธุรกิจกระตุ้นเศรษฐกิจ
กทม.อาจจะต้องเพิ่มหน่วยพัฒนาธุรกิจเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สะดวกขึ้น อย่าไปสร้างภาระ ลดขั้นตอนให้ทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น เปิดพื้นที่ว่างให้คนตัวเล็กตัวน้อยที่เข้าไม่ถึงพื้นที่มีโอกาสได้ขายของ เช่น ปิดถนนคนเดิน ช่วยอุปกรณ์เรื่องโควิด หน้ากากอนามัย ชุดตรวจ ATK ถ้าร้านเล็กร้านน้อยซื้อจะแพง ถ้า กทม.ช่วยได้ เช่น ตรวจ ATK ให้พนักงาน จะช่วยลดต้นทุนธุรกิจให้เขา สร้างความมั่นใจกลับคืนมา
“นโยบายผมทำ กทม.เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ผมคงไม่ตั้งเป้าให้เป็นเมืองมหานครระดับโลกหรือเป็นเมืองอัจฉริยะ ผมว่าเราเน้นที่คนให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น อย่างน้อยเมื่อเมืองน่าอยู่สิ่งดีๆ จะตามมาเอง เช่น ธุรกิจ ความก้าวหน้า แล้วจะกลายเป็นมหานครของโลกได้ ถ้าคุณภาพชีวิตยังไม่ดี คนยังเดินฟุตปาธไม่ได้ ยังมีฝุ่นพิษ โอกาสจะเป็นเมืองระดับโลกคงไม่ง่าย นอกจากคนแล้ว การจะทำให้เมืองน่าอยู่ต้องไปเน้นที่เส้นเลือดฝอย คือสิ่งเล็กๆ ที่อยู่ใกล้บ้าน ไม่ว่าทางเดินเท้า ท่อระบายน้ำ ถนน ฟุตปาธ อากาศพิษ ควบคู่ไปกับเมกะโปรเจ็กต์”
- สางปัญหาค่ารถไฟฟ้า BTS ลั่นไม่เกิน 35 บาท
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องค่าเดินทางของประชาชนก็เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่บางที กทม.ก็ทำไม่ได้ เช่น เรื่องของรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ค่าโดยสารยังคาราคาซังอยู่ ต้องเอาให้จบ ให้ประชาชนได้ประโยชน์ เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเรื่องการเดินทางต้องให้ประชาชนสะดวกขึ้น ในระยะยาวต้องอาจจะพิจารณาเพิ่มระบบฟีดเดอร์ กทม.อาจจะต้องทำเอง เช่น ขออนุญาตเดินรถเมล์เอง เสริมในส่วนที่ไม่มันไม่สะดวก ทำตั๋วร่วม ตั๋ว 1 ใบขึ้นรถเมล์ได้หลายครั้ง เพื่อให้ประชาชนสะดวก ซึ่งรถไฟฟ้าระบบเส้นเลือดใหญ่ รฟม.ทำอยู่แล้ว แต่เส้นเลือดฝอยที่เติมเต็มเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นจะต้องมาดู
“กทม.กำกับดูแลรถไฟฟ้าบีทีเอส ปัญหาคือสัญญาที่ผูกพันต้องพยายามเจรจาบีทีเอสให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าดูตามต้นทุนแล้วผมว่าค่าโดยสารน่าจะไม่เกิน 35 บาท“
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า ระบบรถไฟฟ้าคงต้องดูให้ดีและอย่างละเอียด เพราะเจ้าของใหญ่คือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถ้าสามารถทำให้เป็นระบบเดียวกันได้จะทำให้ระบบตั๋วถูกลงได้ ต้องกลับมาพิจารณาว่ารถไฟฟ้าบีทีเอส กทม.ควรจะดูแลเองไหมหรือส่งคืนกลับให้ รฟม. เนื่องจาก รฟม.มีผู้เชี่ยวชาญมาก สามารถบริหารจัดการได้ดี คงต้องไปดู แต่เชื่อว่าถ้ามีเจ้าของเดียวแล้วบริหารตั๋ว กทม.จะได้ส่วนแบ่งรายได้กลับคืนมา ทำให้ กทม.นำเงินจากส่วนนี้ไปพัฒนาอย่างอื่น ไม่ต้องเป็นหนี้หลายหมื่นล้าน
- ย้ำแพ้ชนะไม่สำคัญ
ถามว่ารู้สึกกลัวหรือไม่เมื่อมีคู่แข่งมากขึ้น นายชัชชาติกล่าวว่า ไม่กลัวเลย เพราะไม่ได้แข่งกันเอาเป็นเอาตาย ผมว่าเหมือนแข่งกีฬามากกว่า เป็นการเสนอความคิด แต่ว่าสุดท้ายประชาชนเลือกใครก็คนนั้น ถ้า ดร.สุชัชวีร์ได้ก็ดีใจด้วย มีอะไรช่วยได้ผมก็ช่วยกัน เราก็ทำงานได้กับทุกคน เราไม่ได้เป็นนักการเมืองจ๋า
“ผมจริงๆ แล้วแค่อยากหาความหวัง หาทางออกให้คนกรุงเทพฯ ไม่ได้เอาเป็นเอาตาย แพ้ชนะผมว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะนี่คือการแข่งกันเสนอทางออก ใครได้ก็ได้ ดีเสียอีกจะได้ช่วยกัน นโยบายผมใครจะเอาไปใช้ก็ได้ ผมไม่ยึดติดว่าเป็นนโยบายเรา ใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ ผมมองว่าทุกคนมาด้วยความหวังดี ทำกรุงเทพฯให้ดีขึ้น ไม่ต้องมาด่ากัน แข่งกันเสนอความหวังดีกว่าไปเสนอแบบกลัว” นายชัชชาติกล่าวทิ้งท้าย