‘วิโรจน์’ ซัด ‘ประยุทธ์’ ฉลองฉีดวัคซีน ไม่นึกถึงคนตายจากบริหารวัคซีนเหลว เตือน ‘โอไมครอน’ ไม่กระจอก

‘วิโรจน์’ ซัด ‘ประยุทธ์’ ฉลองฉีดวัคซีนร้อยล้านโดส ไม่นึกถึงคนตายจากการบริหารวัคซีนผิดพลาด เตือน ‘โอไมครอน’ ไม่กระจอก พร้อมรับมือแล้วหรือยัง?

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ยินดีที่ไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทะลุร้อยล้านโดสได้ตามเป้า ว่านายกรัฐมนตรีควรสำเหนียกถึงครอบครัวที่ญาติพี่น้องเสียชีวิตไปสองหมื่นกว่าครอบครัวบ้าง ซึ่งเป็นความสูญเสียที่มาจากการบริหารจัดการวัคซีนที่ผิดพลาดของรัฐบาลซ้ำแล้วซ้ำอีก และที่ผ่านมารัฐบาลตั้งเป้าหมายอะไรเอาไว้ก็พลาดเป้ามาโดยตลอด เพราะจัดหาวัคซีนเข้ามาล่าช้า และจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอในการต่อสู้กับโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ

นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรเตรียมพร้อมรับมือกับสายพันธุ์โอไมครอนที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ควรจะพูดแต่ว่าโควิด-19 “กระจอก” เพราะอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็เคยพูดอยู่เช่นนี้มาตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 และมาพูดอีกครั้งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยไม่นึกถึงผู้เสียชีวิต จำนวน 21,355 ราย ที่ต้องมารับกรรมจากความชะล่าใจของรัฐบาลชุดนี้

“ต้องอย่าลืมว่าปัจจุบันทุกๆ ประเทศในโลกต่างกำลังเผชิญหน้ากับสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่าโอไมครอนควบคู่ไปกับสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งมีผลการศึกษาประเมินว่าโอไมครอนสามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเดลต้าถึง 70 เท่า แม้ว่าจะมีความเชื่อในเบื้องต้นว่าโอไมครอนอาจจะอันตรายถึงแก่ชีวิตน้อยกว่าเดลต้า แต่จากการศึกษาของอิมพีเรียลคอลเลจ ที่อังกฤษ ระบุชัดว่าไม่มีหลักฐานใดที่สามารถยืนยันได้ว่าโอไมครอนอันตรายน้อยกว่าเดลต้า ดังนั้น เราจึงไม่ควรที่จะประเมินโอไมครอนเอาไว้ต่ำเกินไป” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันประชากรไทยที่ฉีดแอสตร้าเซนเนก้ามีถึง 13 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุอยู่ไม่น้อย แต่มีการวิจัยระบุว่าการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม 25 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพสู้โอไมครอนได้เพียง 5.9% เมื่อเทียบกับไฟเซอร์ 2 เข็มที่ 34% ขณะที่การศึกษาของฮ่องกงพบว่าวัคซีนซิโนแวคไม่มีประสิทธิภาพที่จะสู้โอไมครอนได้เลย ดังนั้น ประชาชนไทยจะต้องเร่งรัดการฉีดเข็มที่ 3 เสริมภูมิกันอีกจำนวนมาก

Advertisement

นายวิโรจน์กล่าวว่า ขณะนี้หลายประเทศเร่งจัดหาวัคซีน mRNA มาฉีดเสริมภูมิให้กับประชาชนแล้ว เช่น นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถึงกับออกโรงต่อสายเร่งรัดการส่งมอบวัคซีนกับซีอีโอของไฟเซอร์โดยตรง เพื่อนำมาฉีดเป็นเข็มที่ 3 ให้กับประชาชน ขณะที่ประเทศเยอรมนีก็ได้ตัดสินใจสั่งซื้อเพื่อสำรองวัคซีนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่วัคซีนเริ่มขาดแคลนมากขึ้น ประเทศในกลุ่ม EU ก็ได้ตัดสินใจเปิดคำสั่งซื้อวัคซีนรุ่นที่มีการปรับปรุงเพื่อรับมือกับ Omicron ไว้แล้วถึง 180 ล้านโดส ยืนยันได้ว่าไม่มีประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศไหนที่มองว่าโอไมครอนกระจอก

นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ขอแนะนำให้รัฐบาลปรับแผนการรับมือโอไมครอนไว้ว่ารัฐบาลไทยควรเร่งรัดติดตามการส่งมอบวัคซีนในเดือนธันวาคมนี้ให้สามารถส่งมอบได้ครบ 10 ล้านโดสตามแผนการจัดหา และต้องทบทวนการสำรองวัคซีนไฟเซอร์เพื่อการฉีดเสริมภูมิให้มากกว่า 30 ล้านโดสที่วางไว้เดิม ลดการสำรองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าลง จากเดิมที่ตั้งสำรองไว้ถึง 52 ล้านโดส รวมถึงจัดหาวัคซีนอื่นๆ เพื่อฉีดเป็นเข็มที่ 4 เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนที่มีความกังวลในวัคซีนชนิด mRNA เพื่อเพิ่มความครอบคลุมการฉีดวัคซีนให้เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลยังควรพิจารณาฉีดเข็มที่ 4 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะมีความมั่นใจในการให้บริการด้านสาธารณสุขหากโอไมครอนระบาด เพราะงานวิจัยของอิมพีเรียล คอลเลจ ชี้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มที่ 3 ก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์ก็ฉีดเข็มที่ 3 ไปกว่า 4 เดือนแล้ว

Advertisement

“นอกเหนือจากวัคซีนแล้วรัฐบาลยังควรเร่งจัดหายารักษาให้เพียงพอ เพื่อลดอัตราการป่วยหนักและอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 เช่น ฟาวิพิราเวียร์, โมโนโคลนอล แอนติบอดี, โมลนูพิราเวียร์ และแพ็กซ์โลวิด นอกจากนี้ ปัจจุบันมีการพัฒนายารักษาโควิด-19 ขนานใหม่ๆ ที่คาดว่ามีประสิทธิผลในการรักษาที่สูงขึ้นอยู่เป็นระยะๆ รัฐบาลจำเป็นต้องติดตามและพิจารณาจัดหาเพื่อสำรองเอาไว้ใช้ในการรักษาชีวิตของประชาชนให้มีความเพียงพอ

“ยาอีกหลายประเภทรัฐบาลก็มีความจำเป็นต้องสำรองไว้อย่างเพียงพอเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นยาที่ใช้รักษาภาวะปอดอักเสบของผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง และยาที่จำเป็นต้องใช้ในงานวิสัญญีสำหรับผู้ป่วยหนัก ซึ่งปัจจุบันมีการรายงานจากแพทย์ผู้ปฏิบัติงานว่ามีการขาดอยู่เป็นระยะๆ รัฐบาลจำเป็นต้องติดตามสต๊อก และการกระจายสต๊อกของยาเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าแพทย์จะสามารถเบิกจ่ายเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยตามการวินิจฉัยได้อย่างทันท่วงที
 
“ผมและคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของพรรคก้าวไกลทราบดีว่ายารักษาโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นยาต้านไวรัส หรือยารักษาภาวะปอดอักเสบมีราคาแพงมากๆ แต่ก็ต้องยืนยันให้รัฐบาลตระหนักว่าต่อให้ยาจะแพงอย่างไรก็ไม่แพงไปกว่า ‘ชีวิตของประชาชน’ และ ‘ความสูญเสียของครอบครัว’ ที่ประเมินค่าไม่ได้
 
“การสำรองยาเอาไว้เป็นเพียงบันไดขั้นแรกเท่านั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องทำต่อก็คือการนำเอายาดังกล่าวบรรจุเข้าไปในบัญชียาหลักแห่งชาติ พร้อมทั้งมีกำหนดข้อบ่งชี้ในการใช้ยาในแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ให้มีหลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่แพทย์สามารถเบิกใช้ได้ตามการวินิจฉัย ให้มีความชัดเจน มีการกระจายสต๊อกของยาอย่างเหมาะสมครอบคลุมพื้นที่การให้บริการสาธารณสุข เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนทุกคนจะสามารถเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพดังกล่าวอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่ามีเฉพาะกลุ่มคน VVIP เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิการมีชีวิตรอดจากยาที่มีคุณภาพเหล่านี้” นายวิโรจน์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image