ส.ค.ส.2565

ส.ค.ส.๒๕๖๕

เดินทางมาถึงปลายปี 2564 นับไปอีก 2 วันก็จะมาถึงวันส่งท้ายปีเก่าเพื่อต้อนรับวันขึ้นปีใหม่แล้ว คนไทยทุกคนน่าจะรู้สึกว่าตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมาทั่วโลกรวมถึงประเทศขาด “ความสุข” ในชีวิตมากมาย ว่าด้วยการป่วยตายจากโรคระบาดไวรัสโควิด-19 วายร้าย เริ่มจาก “อู่ฮั่น” สู่ประเทศต่างๆ ระบาดอย่างต่อเนื่อง ผู้คนล้มป่วยมากกว่า 25 ล้าน คน ตายเกือบ 5 ล้านคนทั่วโลก ส่วนไทยเราป่วยสะสมกว่า 2 ล้านคน ตายกว่า 2 หมื่น อีกทั้งนำไปสู่การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสังคม สิ่งแวดล้อม วิกฤตเทคโนโลยี และที่สำคัญคือ “วิกฤตการเมือง” และสังคมแตกแยก ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือคู่มือขับเคลื่อน “ระบบนโยบายสาธารณะครบวงจร 12 ขั้นตอน สู่ความสำเร็จ” ของท่าน ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี ได้วิเคราะห์และสังเคราะห์ประเทศไทย แล้วระบุความว่า

ชาติไทยขาดสมรรถนะการคิดเชิงระบบและการจัดการ ความติดขัดของประเทศไทยเกิดจากการ “ติดกับดักวิธีคิด” คือคิดว่าดีชั่วเป็นกรรมส่วนบุคคลเท่านั้น ขาดความเข้าใจว่า “โครงสร้างและระบบ” เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลและองค์กรจึงไม่ใส่ใจ “ระบบและการจัดการ” เมื่อเกิดปัญหาก็กล่าวโทษ ทำให้โกรธเคือง แตกแยก แต่ “แก้ปัญหาไม่ได้”

อาจารย์มหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมด “คิดเชิงเทคนิค” เท่านั้น ขาดสมรรถนะการคิดเชิงระบบและการจัดการ มหาวิทยาลัยไม่สามารถเป็นหัวรถจักรทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต ตรงข้ามมีความแตกแยก ขาดความสุขและความสร้างสรรค์ โดยไม่เข้าใจว่าถ้าระบบดีและการจัดการดีพวกเขาจะไม่ทะเลาะกัน นี่ทะเลาะกันไม่ใช่เขาไม่ดี แต่ “เพราะขาดระบบและการจัดการที่ดี”

Advertisement

บ้านเมืองเราต้องการบริหาร “นโยบายสาธารณะ” (Public policies) เป็น “ปัญญา” สูงสุดของชาติใดชาติหนึ่ง เพราะเป็นการกำหนดความเป็นไปของประเทศ ทั้งในทางเจริญหรือทางเสื่อม

เรื่องนโยบายสาธารณะในประเทศไทยโดยทำกันเป็นส่วนๆ ไม่ครบ ไม่เชื่อมโยงกันเป็นระบบจึงไม่ได้ผล

เมื่อขาดสมรรถนะในการทำให้สำเร็จ ปัญหาต่างๆ ก็ค้างคาตัว สะสมไปสู่สภาวะวิกฤตทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม การศึกษา ความยุติธรรม และความเป็นธรรม บรรจบกันเป็นวิกฤตยิ่งใหญ่ของชาติ โดยชาติไม่มีสมรรถนะที่จะออกจาก “หลุมดำแห่งวิกฤต” ซึ่งปะทุเป็นความรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดไม่ว่าจะมาจากฐาน “ประชาธิปไตย” หรือ “ฐานจากเผด็จการ” มีศักยภาพที่จะพาคนไทยออกจากความทุกข์ จากความขัดแย้ง “จิกตีกันเหมือนไก่อยู่ในเข่ง” ฉันนั้น จิกตีกันจนเลือดตกยางออกอย่างไร
ก็บินออกจากเข่งไม่ได้ หรือยิ่งทำให้ออกไม่ได้

การขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจรมี 12 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ หรือ “ระบบสัมฤทธิศาสตร์” จะเป็นเครื่องมือพาคนไทยทั้งชาติร่วมกันบินออกจากเข่ง หลุดออกจากความติดขัดของชาติ ทำให้บ้านเมืองลงตัว และเกิดระบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

อาจารย์ได้ระบุว่า จะกล่าวถึง “รูปธรรม” ของระบบนโยบายครบวงจรเสีย เพื่อปฏิบัติได้ และเข้าใจส่วนที่เป็น “นามธรรม” จะกล่าวตามหลังได้ง่าย ระบบ “รูปธรรม” ที่เข้าใจง่าย โดยยกตัวอย่างเรื่องรถยนต์ เครื่องบิน ผู้เขียนขอเพิ่ม “เรือยนต์” ดังนี้

1.ถ้าต้องการอะไรที่ไปวิ่งที่ถนน ทางน้ำ ทางอากาศ นั่นคือ “นโยบาย”

2.เราก็ต้องออกแบบ “ระบบ” ที่จะทำระบบนั้นวิ่ง แล่น บินได้ นั่นคือระบบรถยนต์ เรือยนต์ ระบบเครื่องบิน (เรือบิน)

3.องค์ประกอบ หรือชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์ทั้งสามนั้นต้องครบและถูกต้อง เช่น องค์ประกอบมี 10,000 ชิ้น ก็ต้องครบและถูกต้อง

4.ประกอบเครื่องยนต์ให้ครบตามระบบ เมื่อประกอบครบถูกต้อง เกิดเป็นองค์รวม คือรถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน (เรือบิน) เกิดคุณสมบัติใหม่มหัศจรรย์ของความเป็นองค์รวม คือวิ่งได้ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ

5.คุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ของระบบองค์รวมนี้ ไม่ใช่คุณสมบัติขององค์ประกอบส่วนย่อยๆ ใดๆ ของเครื่องยนต์ทั้ง 3 ชนิด ชิ้นส่วนต่างๆ ของรถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน ไม่มีชิ้นใดที่วิ่งได้เหมือนรถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน

6.สรุป ถ้าประกอบเครื่องครบเป็นระบบองค์รวมจะเกิดคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์

7.ประเทศไทยเปรียบเสมือนประเทศเครื่องยนต์เป็นส่วนๆ เข้าใจและทำแบบแยกเป็นส่วนๆ ไม่เกิดองค์รวม ประเทศไทยจึง “บินไม่ได้” แต่ทะเลาะกันยกใหญ่แบบ “ตาบอดคลำช้าง”

8.หากออกแบบระบบนโยบายและการประกอบเครื่องยนต์ให้ครบวงจรประเทศไทยจะเกิด “คุณสมบัติใหม่” อันมหัศจรรย์ สามารถบินสู่ฟ้าไกลไปไหนได้ทั่วโลก

ต่อมาที่สำคัญคือ “คน” หรือ “มนุษย์” จะนำ “นโยบายสาธารณะ” สู่การปฏิบัติได้อย่างดี ก็คือ “ระบบการขับเคลื่อน” มี 12 ขั้นตอน คือ

1.วิจัยสร้างข้อมูลของสถานการณ์ความเป็นจริง 2.การสื่อสารความจริงให้สาธารณะทราบเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางนโยบาย 3.การสังเคราะห์นโยบายสาธารณะที่มีศักยภาพทางปัญญาสูงสุดของชาติ 4.ทำเอกสารนโยบายฉบับสาธารณะเพื่อสร้างความเข้าใจ 5.กระบวนการตัดสินใจทางนโยบาย

6.สร้างเครื่องมือทางนโยบาย 7.กลุ่มสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายตัวช่วย (Helper Cell) 8.สร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมยุทธการแสงเลเซอร์นำไปสู่ความมุ่งมั่นร่วมกัน 9.ทำแผนปฏิบัติการ (Plan of Action) 10.ลงมือปฏิบัติตามแผน 11.ติดตามการปฏิบัติเพื่อช่วยแก้ไขอุปสรรคขัดข้องที่ทำให้ปฏิบัติไม่ได้ 12.ผลของการปฏิบัติและการประเมินผล

อานิสงส์ของการเห็นภาพรวมเป็น “ระบบ” หรือ “ช้างทั้งตัว” เพลาของวงล้อ ระบบนโยบายจะสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็น “ระเบียบ” อีกทั้งผู้นำนโยบาย (Policy Leader) มีส่วนสำคัญยิ่ง รวมทั้งผู้ตาม (Lean) ดำเนินการอย่างครบวงจรจนเกิด “3 บ” “ระบบ ระเบียบ บรรลุ”

ในชีวิตที่ช่วงนี้เป็นช่วงส่งท้ายปีวัว 2564 สู่ปีศักราชใหม่สู่ “ปีขาล” 2565 เรื่องเก่าๆ ในอดีตที่ใครทำอะไรไว้ ไม่ว่าขาว หรือดำ ดีหรือชั่ว เป็นความหวังของชีวิตเชิงประจักษ์ที่เราทำไปแล้วหวนกลับมาไม่ได้ แต่ทำอย่างไรก็จะได้ผลอย่างนั้นที่เป็นจริงเสมอ นั่นคือ “กรรม” มี 20 ข้อ พึง “สดับ” ระลึกไว้เสมอเพื่อเริ่มตั้นชีวิตใหม่ “1 มกราคม 2565” เพื่อ “ชีวิต” ของเราและครอบครัว กล่าวคือ

1.หมอดูที่แม่นยำที่สุดในโลก คือ “กฎแห่งกรรม”

2.พิธีสะเดาะเคราะห์แก้กรรมที่ดีที่สุด คือ การสำนึกผิด และเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง

3.วิธีต่ออายุที่ได้ผลที่ดีที่สุดในโลก คือ การละเว้นชีวิตผู้อื่น

4.วิธีเสียทรัพย์ที่ดีที่สุดในโลก คือ การทำบุญให้ทาน

5.วิธีเสริมสวยที่ได้ผลดีที่สุด คือ รอยยิ้ม

6.ความสุขราคาถูกที่สุด คือ ละวาง

7.ความดีที่ประเสริฐที่สุดในโลก คือ ความกตัญญู

8.การปลดปล่อยตัวเองที่เร็วที่สุด คือ การปล่อยวาง

9.ความสูญเสียที่สาหัสที่สุด คือ การเอาเปรียบผู้อื่น

10.การทำลายคุณธรรมของตัวเองที่เร็วที่สุด คือ การเห็นแก่ตัว

11.บ่อที่ถมยากที่สุดในโลก คือ บ่อแห่งความโลภ

12.ไฟที่ยากดับที่สุด คือ ไฟแห่งโทสะ

13.สิ่งที่ทำให้คนมัวเมายิ่งกว่าการดื่มสุราที่ฤทธิ์แรงที่สุด คือ ความหลง

14.ความมืดที่รุนแรงให้ไฟสว่างได้ยากที่สุด คือ กามคุณ

15.ความงมงายที่ฝังแน่นที่สุดในโลก คือ อัตตา

16.ความผันผวนที่ยากคำนวณที่สุด คือ อนิจจัง

17.ภัยพิบัติที่ร้ายแรงและยาวนานที่สุด คือ การเวียนว่ายตายเกิด

18.ความสุขที่ยาวนานที่สุด คือ การหลุดพ้น

19.สันติภาพเกิดขึ้นเร็วที่สุดในโลก คือ “การให้อภัย”

20.ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด คือ “ความคิดเอาเอง”

หากเรา “ละวาง” หรือกระทำในสิ่งที่ควรกระทำ คือ สำเร็จได้ด้วยตัวเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ “เราต้องสร้างเองเพื่อตัวเรา” คือ “คุณภาพชีวิตที่ดี” ปี 2565 มี 5 ด้าน คือ

I.ด้านจิตใจ มีความฉลาดทางธรรม รู้อุบายใจที่ทำให้ละความคิดในเชิงอกุศลได้เร็ว ทำให้เป็นคนมีกำลังใจที่ดี เข้มแข็ง ไม่จิตตกง่าย มีปัญญาแยบคาย เล็งเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ไม่หลงยึดวัตถุนิยม ผู้คน และความรู้สึกของตนว่ามั่นคงถาวร สามารถกำหนดจิตให้มีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ได้ทำ รู้จัก
จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง ระวังกิเลสใฝ่ต่ำเพิ่มพูนความดีที่มีให้ขยับขยายยิ่งๆ ขึ้นไป กำหนดจิตว่างจากความคิดเพื่อผ่อนคลายได้เป็นปกติ

II.ด้านร่างกาย มีปัจจัยสี่เพียงพอแก่ตน ไม่อดอยาก ไม่ลำบากยากไร้ กินดื่มอาหารที่มีคุณภาพ ออกกำลังกายเป็นปกตินิสัย อยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเท นอนหลับเต็มตื่น ขับถ่ายสะดวก มีความอบอุ่น ได้อยู่ใกล้ชิด โอบกอดสัมผัสบุคคลอันเป็นที่รัก ร่วมปฏิบัติใส่ใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นวิถีชีวิตประจำวัน ได้ปรุงอาหารด้วยตนเองบ้าง กินอาหารเป็นยารักษาโรค รู้ถึงความสำคัญ ที่มาที่ไปของอาหารที่เรากิน มีความสุขกับการปัดกวาดเช็ดถู ล้างจาน ทำสิ่งเหล่านี้เสมอๆ เพื่อให้บ้านสะอาดและน่าอยู่

III.ความสัมพันธ์ คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักได้ตามปกติ เปิดใจรับฟัง ไม่ปิดกั้นด้วยความเห็นที่แตกต่าง มีโอกาสใช้เวลาร่วมกันเสมอ รู้สึกอบอุ่นใจว่ามีใครบางคนอยู่เคียงข้างในยามสุขทุกข์ ได้ทำสิ่งดีๆ ให้คนที่รัก รับรู้ถึงความสุข เมื่อเห็นคนที่รักมีความสุข

IV.การงาน มีความสุขและภูมิใจในงานที่ได้ทำ ตื่นมาทุกเช้าด้วยความคิดที่จะพัฒนาปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้น สุขใจขณะที่ลงมือทำ สามารถเลี้ยงดูชีวิตตนเองและครอบครัวได้ ระยะเวลาที่ทำและความเชี่ยวชาญในงานมีมูลค่าในตัวของมันเอง ยิ่งทำงาน ความเห็นแก่ตัวยิ่งน้อยลง

V.รางวัลชีวิต มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รักโดยไม่คิดถึงเงินทองเป็นตัวตั้ง ได้ช่วยเหลือผู้อื่นและสังคม ในที่สุดเราพอจะทำให้รู้สึกได้ว่า “ชีวิตเรา” มีประโยชน์กับผู้อื่น เบียดเบียนโลกน้อย ไม่ใช้ทรัพยากรโลกอย่างฟุ่มเฟือย ใช้อย่างพอดีๆ มอบความรู้สึกดีๆ ให้คนรอบข้างและสังคมอยู่เสมอ รู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมา รู้สึกยินดีกับสิ่งดีในชีวิตของผู้อื่น

ท้ายสุดนี้ในวาระขึ้นปีใหม่ 2565 ผู้เขียนเองและหนังสือพิมพ์มติชน ขออำนวยพรคุณพระศรีรัตนตรัย ประทานพรให้แฟนๆ มติชน และครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย และสัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ นะครับ

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image