ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : ปีใหม่-คิดเก่า! โดย จำลอง ดอกปิก
2564 ปีที่อีกไม่กี่วันผ่านพ้น
เป็นปีข้าวยากหมากแพง ประชาชนทุกหย่อมย่าน โดยเฉพาะเกษตรกร คนส่วนใหญ่ของประเทศ เดือดร้อน
โควิดซ้ำเติม กดจมอยู่กับความจนดักดาน
ไม่มีอันจะกิน
ส่วนคนรวยทรัพย์สิน เงินทองพร่อง ลดน้อยลง
หากนับเอาผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นมาตรวัด มีไม่กี่อุตสาหกรรมเติบโต
ส่วนใหญ่ลำบาก ได้รับผลกระทบ ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด
มีแตกต่างกันบ้าง ก็แค่โดนมาก-น้อยเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง และความสามารถในการบริหารจัดการ
ในรายของบริษัทที่ยืนอยู่ได้ มีไม่น้อยที่มิได้มีรายได้เพิ่ม อาจน้อยลงด้วยซ้ำ
หากแต่ทำกำไรจากการลดต้นทุนประกอบกิจการให้ต่ำที่สุด ทำให้ฟากรายจ่ายน้อยลง
หากมองผ่านระบบห่วงโซ่ แน่นอนว่า เมื่อภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมแทบทุกกลุ่ม ได้รับผลกระทบจากโควิด คำสั่งล็อกดาวน์ มาตรการเข้มของรัฐ ฯลฯ
ข้างบนกระเทือนหนัก
ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ล่างลงมาในแต่ละภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ก็ย่อมต้องบอบช้ำตามแรงสั่นสะเทือน
และอาจหนักกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่แข็งแรงเท่า
ไม่มีตัวเลขรวบรวมอย่างเป็นระบบ เปรียบเทียบให้เห็นว่ากรณีโรคระบาดมรณะ ที่คร่าชีวิต และลดทอนคุณภาพชีวิตผู้คนนั้น
แรงตกกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม นำมาซึ่งความเดือดร้อน ต่อเศรษฐกิจปากท้อง
ฐานะความเป็นอยู่ของผู้คนมากเพียงใด
แต่ก็มีตัวเลขอีกตัว ที่เป็นเครื่องยืนยันได้ ถึงพิษสงโควิด สภาพัฒน์ได้วิเคราะห์สถานการณ์ความยากจน และความเหลื่อมล้ำ ปี 2563 ปีแรกโควิดระบาด ระบุว่า สัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้นจาก 6.24% ในปี 2562 เป็น 6.84% ในปี 2563 หรือมีคนจนเพิ่มขึ้น 5 แสนคน จาก 4.3 ล้านคน เป็น 4.8 ล้านคน
ขณะที่ครัวเรือนทั้งประเทศ มีความเปราะบางเพิ่มขึ้น จากความสามารถหารายได้ลดลง
คนจนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ อีสาน เหนือ ภาคกลาง และ กทม. ตามลำดับ
ส่วนหนึ่งเป็นปัญหาด้านโครงสร้างการผลิต เนื่องจากประกอบอาชีพเกษตรและแรงงานนอกระบบ
โควิดได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการจ้างงานอย่างรุนแรง
ทำให้จำนวนคนจนเพิ่มสูงขึ้น
แต่สิ่งที่สภาพัฒน์ไม่ได้เอ่ยถึง คือขีดความสามารถในการบริหารจัดการแก้ปัญหา บรรเทาผลกระทบของรัฐบาล ซึ่งถูกตั้งคำถาม มาตั้งแต่ไม่มีโรคระบาดแล้วว่า ฝากผีฝากไข้ได้หรือไม่
ปัญหาโควิดระบาด และปมผลกระทบกว้างขวาง จะดำรงคงอยู่กับโลกและไทยสืบไป
ศักราชใหม่ก็ยังต้องเผชิญกับเรื่องนี้
และยิ่งนานเข้า ความเสียหายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ทั้งทางกว้างและลึก
ในขณะที่ขีดความสามารถรัฐบาลมีอยู่อย่างจำกัด
มิหนำซ้ำ ไม่เป็นเอกภาพ และยังห่วงหน้าพะวงหลังกับมรสุมการเมืองที่รุมเร้าถาโถมรอบด้าน
หากไม่สามารถยกระดับฝีมือขึ้นมาได้ ปี 2565 จะเป็นปีที่หนักหน่วง สาหัสสากรรจ์ของคนไทย
จะฝากความหวังไว้กับรัฐ ที่มีอำนาจจัดการแก้ไขปัญหา มีเครื่องมือ และทรัพยากรพร้อม อีกปีอีกครั้ง ได้มากน้อยแค่ไหน
ยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบได้ แม้แต่รัฐบาลก็ตาม
ในรอบปีที่ผ่านมา เอาแค่ปัจจัย 4 พื้นๆ ไม่เรียกร้องสูงส่งถึงขั้นนวัตกรรม
ยารักษาโรค (วัคซีน) ยังทุลักทุเล
บริหารจัดการได้ไม่ดีพอ
ชาติต่างๆ ที่เผชิญปัญหาโควิดระบาดเช่นเดียวกับประเทศไทย ที่กำลังฟื้นตัว อันทำให้เศรษฐกิจโลกผงกหัวอยู่ในขณะนี้นั้น ล้วนแต่เป็นเพราะได้วัคซีนเร็วและทั่วถึงมาปลดล็อกเศรษฐกิจ การค้ากิจกรรม กิจการทั้งนั้น
หันกลับมามองไทยก็อย่างที่เห็น
ล็อกดาวน์นานคุมระบาด ปลดล็อกช้า เพิ่งเริ่มบางส่วน 1 พฤศจิกาฯ
ปี 2565 นี้ ก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะได้นำบทเรียน ความผิดพลาด บกพร่องทั้งหลาย ทั้งที่ได้เอ่ยมา และมิได้พูดถึง ไปทบทวน-แก้ไข อย่างกระตือรือร้นและจริงจัง
วางหมุดหมายบริหารชัดเจน ให้ประชาชนอยู่ได้ เหมือนกับที่ทุ่มเท ทำทุกวิถีทางเพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้
กลับหัว กลับหาง คิดและทำเหมือนเก่า เห็นทีอยู่ลำบาก