‘บัญญัติ’ ชี้ ‘บิ๊กตู่’ อยู่ข้าม ‘ปีเสือ’ ลำบาก หวั่นปมนั่งยาว 8 ปี ปลุกความร้อนแรงทั้งสภาและท้องถนน
เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2565 ว่า จะเป็นปีของการเลือกตั้ง เพราะเริ่มต้นเดือน ม.ค.ก็มีการเลือกตั้งซ่อมถึง 3 ที่ ทั้ง จ.ชุมพร จ.สงขลา และ กทม.เขตหลักสี่ ยังมีการเลือกตั้งท้องถิ่น เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และ ส.ก. รวมถึงเมืองพัทยา คาดหมายว่าต้องเลือกในปี 2565 รัฐบาลได้ขานรับแล้วว่าจะเป็นกลางปี แต่ไม่แน่อาจจะเป็นต้นปีก็ได้
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การเมืองที่ร้อนแรงแบบสุดๆ การเลือกตั้งทั่วไปก็อาจจะต้องเลือกตั้งในปี 2565 ด้วยเหมือนกัน แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็คงอยากอยู่เป็นประธานเอเปค หรืออยากจะอยู่ครบเทอม แต่ถ้าพิจารณาภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ร้อนสุดๆ เห็นทีจะข้ามปี 2565 ลำบาก
นายบัญญัติกล่าวต่อว่า ที่จะมีผลทำให้การเมืองร้อนคือช่วงหลัง เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้งออกนอกรูปนอกแบบกันมากขึ้น ใช้ทุน และอิทธิฤทธิ์มากขึ้น ที่ชัดที่สุดคือการเลือกนายก อบจ. นายกเทศมนตรี และล่าสุดเลือกนายก อบต.ทั่วประเทศ คนโจษขานกันมากว่าใช้เงินใช้ทองกันอย่างโจ๋งครึ่ม มีการวิพากษ์วิจารณ์กันเช่นนี้ ก็น่าประหลาดว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นเจ้าของเรื่องไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย กลับบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร มีร้องเรียนมาบ้างซึ่งเป็นเรื่องปกติ
“ถ้าเราปล่อยให้กระบวนการการเลือกตั้งใช้อิทธิฤทธิ์อิทธิพลกันมาก บังเอิญชาวบ้านก็ลำบากด้วยจะทำให้กลายเป็นเหยื่อของระบบอุปถัมภ์ การเลือกตั้งในวันข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นอาจถูกเรียกขานหรืออาจกลายเป็นประเด็นที่นำไปสู่การคัดค้านว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรกก็เป็นไปได้ หากเป็นเช่นนั้นก็เหมือนประวัติศาสตร์การเมืองของเราย้อนถอยหลังไปปี 2500 การเลือกตั้งทั่วไปในรัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการเดินขบวนของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้เกิดการยึดอำนาจ วันนี้สิ่งที่จำเป็นจะต้องเรียกร้องคือ กกต. ต้องหันกลับมาดูความเป็นจริงในบ้านเมืองและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเข้มแข็ง” นายบัญญัติกล่าว
นายบัญญัติกล่าวว่า การเมืองจะร้อนจากรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะนายกฯ ซึ่งในสมัยเปิดประชุมสภาใหม่ ปี 2565 คาดหมายได้ว่า การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยพรรคฝ่ายค้านจะต้องเริ่มขึ้น ความจริงก็จะเป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆ เพียงแต่เริ่มขึ้นในเวลาที่บ้านเมืองมีปัญหาค่อนข้างมาก ทั้งโควิด เศรษฐกิจ คนตกงาน ผู้ประกอบการขนาดเล็กขนาดย่อม มีปัญหามากมาย การท่องเที่ยวนำรายได้เข้าประเทศก็หายจนหมด ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลจัดการได้เรียบร้อยมากน้อยเพียงใด หากจัดการได้ไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับการอยู่นานของนายกฯ อยู่มานานมากแล้ว ถ้าเป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ 2 เทอมเข้าให้แล้ว ในทางการเมืองย่อมเข้าใจกันดีว่าผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองที่อยู่นาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ยั่วยุให้เกิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างรุนแรงได้แน่นอน
นายบัญญัติกล่าวต่อว่า จะมีกระบวนการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่นับเป็นความล้าหลังของรัฐธรรมนูญอยู่เป็นระยะๆ อาจจะมี ส.ส.เสนอเข้าชื่อกันเองหรือการเข้าชื่อของประชาชนทั่วไปก็ทำกันอยู่แล้ว ก็น่าจะกระทำกันมากขึ้น รวมทั้งปัญหาของส.ว.ที่ถูกกล่าวหาว่าเกินอำนาจที่พึงมีของระบอบประชาธิปไตย ประเด็นเหล่านี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาท้าทายความคิดของสมาชิกรัฐสภาอีกครั้ง
“ประเด็นที่ใหญ่ที่ร้อนมากที่สุด อาจจะก่อให้เกิดความร้อนแรงทั้งในสภาและบนท้องถนน รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญงานจะเข้าด้วย คือการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตรงไหน ที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไปเขียนบัญญัติไว้ว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ จะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติในบทเฉพาะกาลรับรองเอาไว้ว่าให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็น ครม.ตามรัฐธรรมนูญ เคยมีนักวิชาการตีความไว้ด้วยว่า อย่างนี้ต้องนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2557 ว่าไม่ได้เป็นตามรัฐธรรมนูญนี้”
“แต่เมื่อมีบทบัญญัติบอกว่าให้ถือเป็นการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญนี้ อย่างนี้ก็น่าจะครบกำหนด 8 ปีในเดือนสิงหาคม 2565 เพราะฉะนั้นเมื่อใกล้เดือนสิงหาคม 2565 ผมมั่นใจว่าคงจะมีคนหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาถามหาความถูกต้องอีกครั้ง ตรงนี้จึงบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะงานเข้า เพราะหนีไม่พ้นที่จะต้องวินิจฉัยว่าตกลงนับหนึ่งเมื่อไหร่”
นายบัญญัติกล่าวต่อว่า การที่คิดว่าจะอยู่ให้ครบเทอมครบวาระ ก็ไม่แน่ว่าจะพ้นปี 2565 ได้หรือไม่ ยิ่งประเด็นความขัดแย้งในแต่ละที่ การช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบในระหว่างกันเองที่มักจะปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ ก็จะเพิ่มความร้อนแรงได้เช่นกัน ถ้ารัฐบาลไม่สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก โควิด-19 ให้ได้ด้วย ที่ผ่านมาก็ถือว่าดีพอสมควรจากความเข้มแข็งของบุคลากรสาธารณสุข แต่เมื่อมีเชื้อโอมิครอนเข้ามา ถ้าเอาไม่อยู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้วก็จะแรงเข้าไปอีก คนตกงานมากกว่าเดิม คนลำบากมากขึ้น เหล่านี้จะมีส่วนเติมความเร่าร้อนให้การเมืองได้ทั้งหมด