เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากนายโจชัว หว่อง เลขาธิการและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเดโมซิสโต ของฮ่องกง ถูกทางการไทยส่งตัวกลับ หลังได้รับเชิญมาร่วมงาน “6ตุลาฯ ชาวจุฬาฯ มองอนาคต” เพื่อรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายหว่อง ได้ปาฐกถา สดจากฮ่องกง เข้ามายังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานที่จัดงาน โดยนายหว่อง ได้หยิกยกเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมามาสะท้อนให้เห็นบทบาทของคนหนุ่มสาวต่อการเมือง
นายหว่องเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเองว่ากำลังศึกษาอยู่ที่ โอเพ่น ยูนิเวอร์ซิตี้ ฮ่องกง เมื่อตอนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสืบเนื่องจากอังกฤษส่งมอบอำนาจปกครองของฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี 1997 นั้นอายุเพียง 1 ขวบ โดยมีการตกลงกันให้การปกครองฮ่องกงอยู่ภายใต้หลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ ซึ่งมีค่านิยมหลักเรื่องการปกครองตนเอง การแยกอำนาจและเสรีภาพ แต่ในเวลาต่อมา ทางการจีนพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นผ่านการเปลี่ยนแปลงตำราเรียนตามหลักสูตรในฮ่องกงเพื่อล้างสมองชาวฮ่องกง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนด้วยการ ร่วมก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวที่ใช้ชื่อ สกอลาริสม์ ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อต่อสู้กับความพยายามปรับเปลี่ยนหลักสูตรตำราเรียนของรัฐบาลที่พยายามทำให้เข้าใจต่อรัฐบาลจีนในทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ซึ่งประสบความสำเร็จในการดึงเอาประชาชนชาวฮ่องกงที่ช็อกกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว รวมทั้งบรรดาครูและนักเรียนเข้าร่วมในการชุมนุมต่อต้านและแสดงให้เห็นความต้องการที่แท้จริงของฮ่องกงว่าต้องการเสรีและการเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสารที่เป็นอิสระ และไม่ต้องการการเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจของฮ่องกง นอกเหนือจากการชุมนุมแล้วยังมีการนำเอาวิธีการอดอาหารประท้วงมาใช้ในการเคลื่อนไหวดังกล่าว นำไปสู่การชุมนุมใหญ่และการตัดสินใจยกเลิกการแก้ไขตำราเรียนดังกล่าวในที่สุด
นายหว่องตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวที่ประสบความสำเร็จดังกล่าวนั้นนำโดยนักเรียนในระดับไฮสกูลเท่านั้นเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เด็กนักเรียนก็สามารถสั่งสมประสบการณ์ ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวอย่างมีพลังและประสบความสำเร็จในการทำให้รัฐบาลรับฟังข้อเท็จจริงได้
นายโจชัว หว่องยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งในฮ่องกง ซึ่งเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวใหญ่ในเดือนกันยายน 2014 เพื่อต่อต้านความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่เริ่มต้นหลักๆจากนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยหลายพันคน เช่นเดียวกับนักเรียนในระดับมัธยมและแม้กระทั่งเด็กนักเรียนวัย 14 ปีก็เข้าร่วมอยู่ด้วย และในที่สุดก็สามารถดึงผู้คนมากกว่า 120,000 คนมาเข้าร่วมในการชุมนุมได้
โจชัว หว่อง ยืนยันในตอนท้ายว่า คนรุ่นใหม่สามารถเข้าไปมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ โดยการยกตัวอย่างหลังจากที่การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มตนไม่ประสบผลสำเร็จใด ก็หันมาเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ด้วยการจัดตั้ง “เดโมทิสโต” พรรคการเมืองของคนหนุ่มสาว โดยมี นายนาธาน ลอว์ นักเคลื่อนไหววัย 23 ปีเป็นประธานพรรคและตนรับตำแหน่งเลขาธิการ และประสบความสำเร็จในการลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
โจชัว หว่อง ระบุด้วยว่า “คนหนุ่มสาวสามารถต่อสู้ให้เป็นตัวอย่างทั้งทางด้านประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชนได้ และแม้จะไม่สามารถกำหนดได้แน่ชัดว่า ไทย หรือ ฮ่องกงจะกลับคืนสู่ประชาธิปไตยเต็มที่ได้เมื่อใด แต่ด้วยวัยเยาว์ของคนหนุ่มสาวทำให้เวลาเข้าข้างพวกเรา” และกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ทุกวันนี้พวกคุณกำลังครอบงำอนาคตของเราอยู่ แต่วันหนึ่งข้างหน้าเราจะเป็นผู้กำหนดอนาคตของพวกคุณได้ในที่สุด”
