‘เพชร’ จับได้เบอร์ 6 ประกาศ เล็งชู บูสต์เข็มสาม เป็นนโยบายเร่งด่วนช่วยชีวิตคนหลักสี่ ไม่หวั่น กระแสโจมตีดิสเครดิต ด้าน ‘พิธา’ กร้าว พลิกสนามเลือกตั้งซ่อม ให้เป็นสีส้มตามที่ตั้งใจ ผนึกทีมแคนดิเดต ผู้ว่าฯ กทม. ทำงานยกองคาพยพ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มกราคม ที่สำนักงานเขตหลักสี่ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 9 หลักสี่-จตุจักร (แขวงเสนานิคม แขวงจันทรเกษม และแขวงลาดยาว) พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์หลังสมัครรับเลือกตั้ง และจับได้เบอร์ 6 ว่า ความจริงตนอยากได้เบอร์ 3 แต่เป็นคนสุดท้ายจึงจับได้เบอร์ 6 ซึ่งก็ถือว่าเป็นเลขมงคลเช่นกัน สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่อยากจะทำคือ การแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน ซึ่งคาดว่าจะระบาดครอบคลุมประเทศไทยในปีนี้ ทั้งนี้ในพื้นที่เขตหลักสี่-จตุจักร มีผู้สูงอายุจำนวนมาก และมีความแออัดของประชากรในระดับปานกลาง จึงอยากให้คนในพื้นที่นี้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และหากคนใดยังไม่ได้รับสองเข็มก็ต้องหาทางฉีดให้ครบ เพื่อจะได้ไม่มีอาการรุนแรงและสามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อถามว่า มีความกังวลต่อกระแสการโจมตีทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้หรือไม่ นายกรุณพล กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติของทางการเมือง ที่ใช้วิธีการโจมตีและปล่อยเฟกนิวส์ แต่เรามั่นใจในจุดยืนและนโยบายของพรรคก.ก. ที่จะสามารถขับเคลื่อนประเทศนี้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ในวันที่ 30 มกราคมนี้ ตนอยากให้คนเขตหลักสี่ และ จตุจักร (แขวงเสนานิคม แขวงจันทรเกษม และแขวงลาดยาว) ออกมาใช้สิทธิและเลือกตั้งผู้แทนที่ตอบโจทย์เพื่อขับเคลื่อนนโยบายในท้องถิ่นให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงความมั่นใจในการส่งนายกรุณพล ลงเลือกตั้งซ่อม ว่า เรามีความมั่นใจ เพราะเราทำงานเต็มที่ทั้งในเขตหลักสี่-จตุจักร จ.ชุมพร เขต 1 และจ.สงขลา เขต 6 ซึ่งเรามีความตั้งใจว่าจะเปลี่ยนพื้นที่การเลือกตั้งซ่อมให้เป็นสีส้มให้ได้
เมื่อถามว่า คิดว่าพื้นที่ใดในกทม. เป็นพื้นที่ไข่แดงที่ต้องเจาะให้ได้ นายพิธา กล่าวว่า ทั้งพื้นที่เขตหลักสี่-จตุจักร และสนามผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) เพราะในกทม. มีอำนาจทับซ้อนถึง 3 ชั้น คือ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 50 คน ส.ส.กทม. 30 คน และผู้ว่าฯ กทม. การที่จะทำให้กทม. เปลี่ยนแปลงได้องคาพยพทั้งหมดจะต้องทำงานร่วมกัน โดยตนขอให้ความมั่นใจในตัวผู้สมัครส.ส. ผู้สมัคร ส.ก. และว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคก.ก. ที่จะเปิดตัวในวันที่ 23 มกราคมนี้ จะมาช่วยนายกรุณพล ทำพื้นที่ เพื่อเป็นการรณรงค์ล่วงหน้าในการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. เพราะพื้นที่เขตหลักสี่-จตุจักร เป็นพื้นที่ประชากรหนาแน่นปานกลางคือ มีประชากร 4,500 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยมีผู้สูงอายุอยู่ที่ 22% จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบางในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน เราจึงมีความตั้งใจจะทำให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่หลักสี่โมเดล
เมื่อถามถึง มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. เขตหลักสี่ฯ เป็นภาพสะท้อนในการนำมาใช้คะแนนมาประเมินการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ด้วย นายพิธา กล่าวว่า ตนก็คิดว่าสามารถประเมินได้และประเมินไม่ได้ ถ้าระบุอย่างตรงไปตรงมาคือ พี่น้องหลักสี่-จตุจักร ไม่เหมือนกับพี่น้องเขตหนองจอก หรือพี่น้องเขตสาทร ที่มีความหนาแน่นและลักษณะพื้นที่แตกต่างกัน นักวิชาการหรือกูรูทางการเมือง อาจจะอนุมานว่า สนามเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่-จตุจักร สามารถประเมินอะไรได้หลายอย่างนั้น ตนคิดว่าเราต้องกินข้าวทีละคำกินชาทีละถ้วย โดยตั้งใจว่า จะพลิกพื้นที่เขตหลักสี่-จตุจักร ให้เป็นสีส้มอย่างที่เราต้องการให้ได้ จากนั้นจะนำความสำเร็จที่ได้ไปใช้ในการแก้ไขให้กับพี่น้อง กทม. ต่อไป การที่พื้นที่กทม. มีการทับซ้อนกันของ 3 ฐานอำนาจ จึงทำให้เกิดพรรคการเมืองมาต่อสู้กันแบบนี้ ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นความทุกข์ของพี่น้องชาวกทม. ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง
นายพิธา กล่าวว่า ตนเชื่อว่านายกรุณพล จะเป็นความเปลี่ยนแปลง พี่น้องเขตหลักสี่-จตุจักร ที่รอคอยมานานแสนนาน และสามารถเข้าไปตรวจสอบการจัดทำงบประมาณประจำปีได้ เพราะเรียนจบคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งนี้ ในกทม. ได้รับงบประมาณปีละ 8 หมื่นล้านบาท โดยเขตหลักสี่-จตุจักร ได้งบปีละ 298 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินมหาศาลจากภาษีประชาชน ตนจึงคิดว่าเวทีนี้มีความเดิมพันสูงมากเกินกว่าที่จะนอนหลับทับสิทธิ จึงควรออกมาใช้สิทธิให้เต็มที่ และให้เห็นว่าปีนี้คือ ช่วงเวลาแห่งความหวังของการเปลี่ยนแปลง และทางสองแพร่ง จะอยู่แบบเดิมๆ หรือจะก้าวไปข้างหน้าเป็นสิ่งที่ประชาชนจะต้องตัดสิน วันที่ 30 มกราคม ตนจึงอยากให้ออกมาใช้สิทธิกันเยอะๆ ถึงเวลาเก่าไปใหม่มาแล้ว
