‘พิจารณ์’ชี้เคาะซื้อฝูงบินใหม่อาจผูกพันงบ4หมื่นล้าน ไล่ ถ้าอยากได้จริง ไปบีบลดงบกห.ให้ได้10%

‘พิจารณ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ จัดงบ 66 ไม่เห็นหัวประชาชน แฉเคาะซื้อฝูงบินใหม่ ผูกพันงบกว่า 4.1 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 14 มกราคม นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า แค่เริ่มต้นปีใหม่ กองทัพไทย ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็มีประเด็นมากมายที่ประชาชนต้องหัวเสีย และเบื่อหน่าย เพราะไม่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นกองทัพที่อยู่เคียงข้างประชาชนได้สักที ไม่ว่าจะเป็นกรณีนายทหารเรือเมาแล้วกร่าง ที่นอกจากเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแล้ว สังคมยังตั้งคำถามถึง จำนวนพาหนะหรูต่างๆ ที่มีมูลค่าเกินกว่ารายได้ข้าราชการทหาร แต่ดูเหมือนหน่วยงานต้นสังกัด อย่างกองทัพเรือ จะไม่มีความระแคะระคายที่ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปเลย

นายพิจารณ์ กล่าวว่า ในสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ในค่ายทหาร เช่น ค่ายที่อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น เกิดการติดเชื้อนับร้อยคน แต่กองทัพบก กลับยังคงเดินหน้าให้ฝึกภาคสนามของนักศึกษาวิชาทหาร (ร.ด.) ประจำปีการศึกษา 2564 ต่อไป ไม่รู้ว่า กองทัพได้ประเมินหรือไม่ ว่าการนำเด็กนักเรียน ร.ด.ไปฝึกร่วมกัน นอนร่วมกัน และกินร่วมกัน จะไม่นำไปสู่คลัสเตอร์ขนาดใหญ่ ที่ไม่ควรจะเสี่ยงให้เกิดขึ้น

“อีกเรื่องที่สร้างความเหนื่อยหน่ายให้ประชาชนอย่างมากคือ เกิดสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงท่ามกลางเศรษฐกิจตกต่ำขนาดนี้ โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ ทดแทน F-16 งบประมาณ 13,800 ล้านบาท จำนวน 4 ลำ ก็ยังผ่าน มติ ครม. วาระลับ เมื่อวันที่ 11 มกราคม จนได้ จะทำให้เกิดภาระงบประมาณ ในปี 2566 ที่ 2,760 ล้านบาท และ ในปี 2567-2569 อีกปีละประมาณ 3,680 ล้านบาท และเชื่อได้ว่า การจัดหาจะดำเนินต่อไปอีกจนได้ครบทั้งหมดที่ 12 ลำ เพราะโครงการนี้เป็นการแบ่งซื้อ 3 ระยะ ระยะละ 4 ลำ ในปีงบประมาณต่อๆ ไป ดังนั้น สิ่งเรากำลังพูดถึงความจริงในโครงการนี้ก็คืองบประมาณที่จะต้องใช้ทั้งสิ้น ประมาณ 41,400 ล้านบาท” นายพิจารณ์ กล่าว

Advertisement

นายพิจารณ์ กล่าวต่อไปว่า การจัดซื้ออาวุธดังกล่าวของ ครม. อยู่บนหลักที่ไม่สมเหตุสมผลกับสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญ โดยหากย้อนไปเปรียบเทียบ 2 วิกฤตที่เราเคยผ่านมา ในวิกฤตต้มยำกุ้ง เรายังต้องลดงบกลาโหมลง 21% วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ลดงบกลาโหมลดลง 9.5% นอกจากนั้น ปัจจุบันที่ประชาชนกำลังเผชิญ สถานการณ์วิกฤตโรคระบาด และเศรษฐกิจอยู่ ก็ต้องถามว่า งบด้านสาธารณสุข ด้านสวัสดิภาพ สวัสดิการของประชาชน งบเหล่านี้ได้รับการจัดสรรอย่างเหมาะสมและเพียงพอแล้วหรือยัง

ภายใต้วิกฤติโรคระบาด วิกฤติเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง ครม. มีมติแบบนี้ออกมายังเห็นหัวของประชาชนอยู่หรือไม่ ยิ่งขณะนี้รัฐบาลเองกำลังเผชิญปัญหาการจัดเก็บรายได้ ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณจะต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี คิดอยู่บนพื้นฐานที่ประชาชนได้ประโยชน์ ในปีงบ 2566 รัฐบาลตั้งกรอบวงเงินงบประมาณที่ 3.185 ล้านล้านบาท ซึ่งเราคาดการณ์ว่าจะไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าและจะต้องกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณอีกจำนวนมาก เพราะหากนำการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีงบ 2563-2564 มามอง จะเห็นว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลพลาดเป้ามาแล้วสองปีติดต่อกัน

“ดังนั้น ในความเห็นของผม หากกองทัพยืนยันว่าจะขอซื้ออาวุธ ก็ต้องสามารถบริหารจัดการ ภายใต้กรอบงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่ต้องลดลงจากปี 2565 อย่างน้อยอีก 10% ให้ได้ หาก ครม. ไม่ได้ตัดสินใจบนหลักการและเหตุผลลักษณะนี้ ก็คงจะกล่าวโทษการใช้จ่ายงบประมาณของกลาโหมไปที่พล.อ.ประยุทธ์ เพียงคนเดียวไม่ได้เป็นความรับผิดชอบต่อบาปกรรมที่กระทำไว้กับประชาชนร่วมกันฐานสมรู้ร่วมคิดทั้งคณะ”

Advertisement

นายพิจารณ์ กล่าวว่า อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดถึงด้วยในฐานะที่ติดตามงบก้อนนี้มานานคือ การที่กองทัพเรือยอมถอย ไม่เสนอซื้อเรือดำน้ำ ในปีงบ 2566 นั้น คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่อง หรือต้องขอบคุณใครทั้งนั้น เพราะถึงแม้ไม่ซื้อเรือดำน้ำ แต่สัดส่วนของงบกองทัพเรือหรืองบกลาโหม เมื่อเทียบกับภาพรวมของประเทศ ยังคงเท่าเดิมหรือไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงยังคงแปลความได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จัดงบประมาณเหมือนไม่มีวิกฤต และไม่ได้ลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณเหมือนเดิม

“จากข่าว เหตุผลที่ถอยการซื้อเรือดำน้ำ ก็เพราะว่าโครงการนี้ถูกสังคมจับจ้อง หากเสนอเข้ามา อาจถูกสภาผู้แทนราษฎร ตัดลดงบประมาณ ซึ่งจะทำให้งบของกองทัพเรือลดลง เสียโอกาสในการใช้เงินก้อนนี้ จึงเห็นว่าควรตั้งงบประมาณไปที่โครงการอื่นดีกว่า พูดง่ายๆคือ เอาไปซื้ออย่างอื่นที่ไม่ใช่เรือดำน้ำดีกว่า เพราะน่าจะได้ซื้อ มากกว่าดันทุรังขอซื้อเรือดำน้ำ จึงแสดงให้เห็นว่า กองทัพเรือเองก็ไม่ได้มองที่ความจำเป็น ไม่ได้มีเจตนาที่จะลดงบประมาณ เพื่อให้เกิดเม็ดเงินมากขึ้นในการใช้จ่ายด้านอื่นที่เป็นประโยชน์กับประชาชน โดยเฉพาะงบที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการประชาชน ในช่วงวิกฤตนี้ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนมาก” นายพิจารณ์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image