“จุรินทร์” แจงวิจารณ์พรรคร่วมรัฐบาลทะเลาะ “คาดการณ์ได้อยู่แล้ว ถ้าลงแข่งกันเอง สุดท้าย ต้องกระทบกระทั่งกัน”
เมื่อวันที่ 14 มกราคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการเมือง ภายหลังตรวจติดตามราคาสินค้าที่โลตัสรัตนาธิเบศร์ ว่า โดยหลักถ้าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน เสียที่นั่งหนึ่งที่นั่ง ก็จะไม่ส่งคนลงไปแข่ง เพราะจะเป็นการแข่งกันเองในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เกิดผลดีอะไรกับรัฐบาล นอกจากจะเกิดความหมางใจกัน ถ้าแข่งขันกันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันรัฐบาลไม่ได้อะไร ได้ที่นั่งเท่าเดิม เพราะที่เสียไปเป็นของพรรคร่วมและส่งพรรคร่วมอีกพรรคมาแข่ง ถ้าได้มาก็ยังอยู่ในรัฐบาล รัฐบาลคะแนนเท่าเดิมได้ไม่คุ้มเสีย
“ที่ผ่านมาตนพูดไปแล้ว และไม่ขอตำหนิใคร เมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าต้องการดำเนินการทางการเมืองแบบนี้ ก็สุดแล้วแต่เขาเพราะเราจะไปห้ามก็ไม่ได้ แต่ก็จะนำไปสู่คำถามว่า สุดท้ายจะไปกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ กระทบการทำงานร่วมกันหรือไม่ ตนตอบล่วงหน้าไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ตนไม่ขอระบุตัวบุคคล แต่ตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ เคยพูดคุยกันแล้วว่าหากว่าพรรคร่วมรัฐบาลเสียที่นั่ง จะไม่ส่งคนลงไปแข่ง ถ้าไปแข่งกับฝ่ายค้านไม่มีปัญหา สุดท้ายข้อตกลงนี้ถูกละเมิดไป ก็สุดแล้วแต่ตนไม่ตำหนิ และเป็นปกติของความเห็นทางการเมืองที่เมื่อเห็นไม่ตรงกันก็แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันได้ ไม่ว่าฝ่ายไหน เมื่อฝ่ายหนึ่งบอกว่าเงินสำคัญ อีกฝ่ายบอกว่าอุดมการณ์น่าจะสำคัญกว่า ก็ถกเถียงกันไปประชาชนได้ประโยชน์ว่าสุดท้ายควรจะเลือกอะไร”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ประเด็นทางการเมืองจะส่งผลให้รัฐบาลโดนวิพากษ์วิจารณ์เหมือนทะเลาะกันเองหรือเปล่า นายจุรินทร์กล่าวว่า คาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าถ้าลงแข่งกันเองสุดท้าย ก็ต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง เป็นเรื่องที่ต้องคาดการณ์ได้และเกิดขึ้น ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรไม่สามารถตอบได้ จะกลายเป็นเหยื่อถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงกรณีเคลมคนละครึ่ง นายจุรินทร์ตอบว่า ไม่อยากส่งเสียงอะไรมาก เพราะอยู่ในป้ายหาเสียงคนก็เห็นทั้งหมด แต่พูดเพื่อให้ข้อเท็จจริงกับประชาชนนำไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจว่าข้อเท็จจริงคืออะไร นโยบายคนละครึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคเกิดขึ้นช่วงโควิด หรือเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งมาก่อน ซึ่งข้อเท็จจริง คือเป็นนโยบายของรัฐบาลผสมชุดนี้ มีทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และอื่นๆ ที่ร่วมกันทำในช่วงโควิดส่วนประชาชนจะพิจารณาอย่างไรก็สุดแล้วแต่ เราเป็นนักการเมืองต้องให้ข้อเท็จจริงหลายด้านหลายเรื่องให้ประชาชนเป็นข้อมูลมากที่สุด
“สำหรับพื้นที่ภาคใต้ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดทั้งผู้สมัคร พรรคการเมืองที่สังกัด ตนถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่อยู่คู่กับคนภาคใต้มายาวนาน แม้บางช่วงคนใต้บางพื้นที่เช่น สงขลา อาจไม่เข้าใจนโยบายในส่วนของพรรค ทำให้จำนวน ส.ส. ลดลงไปบ้าง ในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด แต่ต่อมาเพราะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. คนสงขลาก็กลับมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ผู้แทน อบจ.สงขลาในนามพรรค ได้รับการเลือกตั้งและมาถึงการเลือกตั้งซ่อมเที่ยวนี้ เป็นเรื่องที่ตนหวังว่าชาวสงขลาจะให้โอกาสกับพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งรวมทั้งที่ชุมพรด้วย”