ในชัยชนะพ่ายแพ้ ชุมพร สงขลา เปิดเปลือยการเมือง ได้ล่อนจ้อน
ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์จากพื้นที่เลือกตั้งเขต 1 สงขลา หรือพื้นที่เลือกตั้งเขต 6 สงขลา ยืนยันถึงอำนาจและอิทธิพล ทางการเมืองที่ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง
แต่ชัยชนะครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เหมือนกับชัยชนะในอดีต ปัจจัยที่สำคัญเพราะว่ามีพรรคพลังประชารัฐเป็นคู่ต่อสู้
ปัจจัยสำคัญนั้นมิได้อยู่ที่บรรทัดฐานที่เสนอเข้ามาบนเวทีปราศรัยเขต 6 สงขลา โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ว่า 1 ต้องเป็นคนมีชาติตระกูล และ 1 ต้องเป็นคนมีเงิน เท่านั้น
หากที่แหลมคมอย่างที่สุดยังมาจากปัจจัยที่ทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ล้วนอยู่ในสถานะแห่ง ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ จึงสามารถเข้าถึงและใช้ ‘กลไกอำนาจรัฐ’ ได้อย่างเสมอภาคกัน
ตรงนี้แหละคือจุดเปลี่ยนอย่างทรงความหมายยิ่งทั้งต่อรัฐบาล และต่อพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์
หากศึกษาจากการเลือกตั้ง ‘ซ่อม’ ที่ผ่านมาก็จะเข้าใจยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งซ่อมที่นครปฐม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งซ่อมที่ขอนแก่นและโดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช
ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งซ่อมที่นครปฐมและขอนแก่นเป็นการต่อ สู้ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคฝ่ายค้าน แต่ที่นครศรีธรรมราชเป็นการต่อสู้กับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน
ทำไมสถานการณ์การเลือกตั้งซ่อมที่”นครศรีธรรมราช”จึงแตก ต่างไปจากการเลือกตั้งซ่อมที่ ‘ชุมพร’ และ ‘สงขลา’
แม้จะเสียงร้องว่าสถานการณ์การเลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราชแทบไม่แตกต่างไปจากสถานการณ์ที่ชุมพรและสงขลา แต่การปะทะและขัดแย้งกลับรุนแรงแหลมคมมากกว่า
นั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์สวมความกล้าเหมือนได้เสพดีหมี หัวใจมังกรดับเครื่องชนพรรคพลังประชารัฐแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
ความเกรงใจต่อพรรคพลังประชารัฐได้หมดสิ้นอย่างเด่นชัด
แม้ว่าผลแห่งชัยชนะและความพ่ายแพ้จะไม่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ต้องพิจารณาตนเอง แต่ภายในกระบวนการของการต่อสู้ก็ได้เปลือย กระบวนท่าของทั้ง 2 ฝ่ายออกมาจนล่อนจ้อน
ไม่ว่าการใช้ ‘อำนาจรัฐ’ ไม่ว่าการทุ่มเท ‘อำนาจเงิน’
คะแนนที่พรรคประชาธิปัตย์เหนือกว่าพรรคพลังประชารัฐอาจมาจากความนิยม แต่ความนิยมอยู่บนฐานอะไรมิได้เป็นความลับ
การเปิดหน้าชกครั้งนี้จึงจะเป็นผลดีต่อประชาชนในอนาคต
