อาฟเตอร์ช็อกจากการเลือกตั้ง “ซ่อม” เขต 1 ชุมพร เขต 6 สงขลา เป็นอาฟเตอร์ช็อกทั้งต่อพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผลสะเทือน “ภายใน” ของรัฐบาล
ดำเนินไปเหมือนที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ครบถ้วน นั่นก็คือ “ได้ไม่คุ้มกับเสีย”
แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้รับเลือก แต่ชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ก็อยู่บนความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐ หากประเมินจาก “น้ำเสียง” อันมากด้วยอารมณ์ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็จะประจักษ์ชัด
ยิ่งตามมาโดย น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ และปฏิกิริยาโต้กลับจาก นายนิพนธ์ บุญญามณี ด้วยความร้อนแรงก็จะสัมผัสได้ในรูปธรรมของบทสรุป “ได้ไม่คุ้มเสีย” อย่างเด่นชัด
ขณะเดียวกัน รอยร้าวภายในพรรคพลังประชารัฐก็ยิ่งร้าวลึก
จากบทสรุปความพ่ายแพ้อันมาจาก “ผู้อำนวยการเลือกตั้ง” โยนให้เป็นความผิดพลาดจาก “คำพูด” ของ “เลขาธิการพรรค”
ทั้งยังถูก “เขย่า” จากการอุบัติของ “พรรคสร้างอนาคตไทย”
มีความเด่นชัดอย่างยิ่งว่าเป้าหมายของพรรคสร้างอนาคตไทยก็คือการสร้างอนาคตไทยบนฐานแห่งพรรคพลังประชารัฐอันสัมพันธ์แนบแน่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะไม่ว่า นายอุตตม สาวนายน หรือนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ล้วนมีรากฐานมาจากพรรคพลังประชารัฐ
นายอุตตม สาวนายน ก็เคยเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เคยเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
เพียงแต่ประสบ “อุบัติเหตุ” ต้องจรจากไป
การลาออกของ นายสุพล ฟองงาม การลาออกของ นายสันติ กีระนันทน์ จากพรรคพลังประชารัฐ สถานีปลายทางย่อมอยู่ที่พรรคสร้างอนาคตไทยอย่างไม่ต้องสงสัย
หากประเมินจากการเลือกตั้ง “ซ่อม” ที่เขต 1 ชุมพร เขต 6 สงขลา มายังการเคลื่อนไหวของ นายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผ่านพรรคสร้างอนาคตไทยก็แจ่มชัด
แนวร่วมเพื่อชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่เปลี่ยนแปลง
แท้จริงแล้ว กลยุทธ์ของพรรคสร้างอนาคตไทยก็คือกลยุทธ์แตกแบงก์อย่างที่พรรคเพื่อไทยปฏิบัติก่อนเดือนมีนาคม 2562
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังแนบแน่นอยู่กับขั้วอำนาจเดิม