ทูตนอกแถว ถามแฟนบิ๊กตู่ ดูคลิปคุยกับม้า แล้วยังเชื่อมั้ย? ได้ไปซาอุฯ เป็นผลงานรบ.นี้

‘ทูตนอกแถว’ เขียนตอน 3 เบื้องหลังเยือนซาอุฯ ถามแฟนๆรบ. เห็นบิ๊กตู่คุยกับม้าแล้วยังเชื่ออีกไหม ว่าฟื้นการทูตเป็นผลงานรบ.นี้ แต่เพียงผู้เดียว 

เมื่อวันที่ 28 มกราคม นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ และเจ้าของเพจ ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador เขียน มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นตอน 3 โดยมีเนื้อหาดังนี้

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? (3)

มีต่ออีกจนได้ จากตอนที่แล้วก็ได้รับความสนใจจากสื่อสำนักหนึ่งไปพาดหัวว่าทูตนอกแถวโยนผ้า! ยอมรับแล้ว ผลงานรัฐบาลบิ๊กตู่’ ฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุ’ ก็เลยทำให้มีตอนสามอีกสักนิดนะครับ

Advertisement

อะไรที่เป็นผลงาน ผมก็บอกว่าเป็นผลงาน ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด ไม่ใช่ว่าต้องค้านกันตะบี้ตะบันอย่างเดียว อันที่จริงผมก็บอกแต่แรกแล้วว่ายินดีกับสิ่งนี้และถือว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ

แต่ประเด็นหลักของผมคือแค่ว่าอย่ามาเหมาเคลมว่านี่คือฝีมือผลงานของคนๆเดียว หรือเพียงรัฐบาลเดียว เพราะมันทำกันมาต่อเนื่องหลายสมัยแล้ว

ที่มันมาสำเร็จเอาในตอนนี้ก็เพราะทางซาอุดีอาระเบียเขาเปลี่ยนขั้วอำนาจและมีนโยบายใหม่ด้วย คือมาส้มหล่นเอาตอนนี้ก็ไม่ว่ากัน ผมก็ยอมรับว่านี่ถือเป็นผลงานของรัฐบาลปัจจุบัน แต่ไม่ได้มองว่านี่เป็นฝีมือของรัฐบาลนี้ ผลงานก็ผลงาน ส่วนฝีมือก็อีกเรื่อง และมันมีผู้เกี่ยวข้องทำกันมานานแล้วอย่างที่บอก

ผมคิดว่าหากนายกรัฐมนตรีจะออกมาพูดเป็นทำนองขอขอบคุณในความพยายามของทุกๆคน ทั้งในระดับเจ้าหน้าที่และระดับนโยบาย ทั้งปัจจุบันและในอดีต ที่มีส่วนผลักดันให้เกิดความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ และขอมอบสิ่งนี้ให้เป็นของขวัญแด่คนไทยทั้งปวง

ก็น่าจะทำให้ดูหล่อได้ใจเท่มาก และสอดคล้องกับความเป็นจริงด้วย

แต่ก็เข้าใจล่ะครับว่าคงหิวผลงานมาก เพราะไม่เคยมีมาก่อนเลย ส้มลูกใหญ่หล่นลงมาทั้งที จิตใจก็คงคิดได้เท่านี้ การนึกถึงผู้อื่นบ้างเยี่ยงคุณลักษณะของผู้นำที่ดี จึงไม่มีให้เห็น

แล้วก็เห็นภาพไปยืนคุยกับม้า แถมพูดเป็นภาษาอังกฤษ (ซึ่งไม่รู้ความหมายแปลว่าอะไรแน่) ก็ยังงงว่าม้าก็ม้าอาหรับ และม้ามันก็เป็นสัตว์ ถ้าไม่สันทัดภาษาอังกฤษ พูดภาษาไทยง่ายๆกับมันก็ได้ ไม่น่าต่างอะไรกันไหน

ซึ่งถ้าแค่นี้ยังคิดได้แบบนี้ จะให้เชื่อว่า ทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้น เป็นความสามารถฝีมือของลุงแต่เพียงผู้เดียว

ก็แล้วแต่ที่สบายใจกันนะครับ”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา นายรัศม์ ได้เขียน มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? (2) ด้วย โดยมีเนื้อหา ดังนี้

ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะเขียนต่อ แต่โพสต์ก่อนหน้าได้รับ feedback เยอะมาก ทั้งบวกและลบ ตลอดจนข้อสังเกตและท้วงติงอื่นๆที่น่าสนใจซึ่งผมขอน้อมรับด้วยดี พอดีกับมีประเด็นอื่นๆที่นึกได้อีก เลยอยากนำมาคุยกันต่อนะครับ

ดังที่ได้เขียนไปแล้วก่อนหน้า และผมขอย้ำอีกครั้งว่า จะอย่างไรเรื่องการเปิดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างซาอุดีอาระเบียและไทย ถือเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเป็นเรื่องน่ายินดี

ที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตไปว่านายกรัฐมนตรีของไทยควรได้พบกษัตริย์ นายกรัฐมนตรีของซาอุดีอาระเบียด้วย (ซึ่งมีคนแย้งว่ามงกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีคือคนที่มีอำนาจทั้งหมด พบแค่นี้จึงเท่ากับให้เกียรติแล้ว) อันนี้ผมก็พูดตามธรรมเนียมหลักปฏิบัติสากลทางทูตตามปกตินะครับ ซึ่งการพบปะหารือกับมงกุฏราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีนั้นก็ถูกแล้ว แต่ปกติถ้าจะให้เกียรติตามธรรมเนียมปฏิบัติกันจริงๆก็ควรต้องพบผู้นำสูงสุดของเขาด้วย

ภาพที่อออกมา ซึ่งรวมทั้งพิธีการต้อนรับต่างๆที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียจัดให้ แลดูอยู่ในสเกล รูปแบบที่ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานการเยือนอย่างเป็นทางการทั่วไปมาก เช่นไม่มีการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ พรมแดง ฯลฯ หลายๆคนรวมทั้งผมจึงอดมองไม่ได้ว่าเขาไม่ได้ให้เกียรติเราเท่าใดนัก

แต่เรื่องนี้มันก็มองได้อีกว่าเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ณ ขณะการเยือนยังไม่ได้ถือว่าอยู่ในขั้นปกติ พิธีการต่างๆจึงถูกลดทอนลงไปมาก ซึ่งก็ทำให้คิดได้อีกว่าถ้าเราส่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศไป ซึ่งก็คือระดับเดียวกับฝ่ายของเขา จะเหมาะสมกว่าไหม เมื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ปกติระหว่างกันเรียบร้อยแล้วค่อยให้นายกรัฐมนตรีไปเยือนอย่างสมเกียรติ

แต่ก็เข้าใจล่ะว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีต้องการไปเองเพื่อสร้างผลงาน และแม้จะดูไม่สมเกียรตินักแต่ถ้าไปแล้วมีส่วนช่วยให้การเดินหน้ารื้อฟื้นความสัมพันธ์เป็นไปได้ด้วยดี ก็เอาเถอะครับ และก็ถือได้ว่านี่เป็นผลงานหนึ่งของนายกรัฐมนตรี แม้ว่าคงไม่ใช่ของแกเพียงคนเดียวล้วนๆอย่างที่มีผู้พยายามบอก

ซึ่งในแถลงการณ์ร่วมผมก็เห็นข้อความที่ระบุว่าในข้อ 4.ว่า “ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกัน” ซึ่งผมทราบว่าได้มีความพยายามดำเนินการในเรื่องนี้มาหลายยุค ทั้งในระดับกระทรวงการต่างประเทศ และโดยหลายรัฐบาลที่ผ่านมา

เอาเป็นว่าส้มมาหล่นเอาในยุคนี้ ก็ไม่ว่ากันนะครับ เพราะจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

อีกเรื่องที่มีผู้ทักท้วงมา คือเรื่องนายกรัฐมนตรีไทยยกมือไหว้มงกุฎราชการ รองนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นการทักทายในยุคโควิด และตามมารยาทของไทย ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นว่ามีประเด็นอยู่ แต่เท่าที่ผมเคยเห็นที่เขาปฏิบัติในยุคโควิดถ้าไม่จับมือ บางทีก็เอาข้อศอกแตะกัน หรือบางทีผมเห็นหลายประเทศใช้มือขวาทาบอกซ้ายก็มี

และเท่าที่ได้ยินมาเหมือนว่ามงกุฏราชกุมารเขายื่นมือออกมาจะจับแล้ว ก็น่าจะจับมือกับเขาได้ แต่ฝ่ายเราเลือกยกมือไปไหว้แทน ซึ่งจะว่าไปในยุคโควิดนี้ก็โอเคและไม่ใช่สาระสำคัญนัก แต่เรื่องนี้ในการเตรียมการการเยือน ทางฝ่ายพิธีการน่าจะควรแจ้งและตกลงกันก่อนว่าจะใช้วิธีทักทายกันแบบไหนแน่ ก็จะช่วยให้ดูราบรื่นไม่เคอะเขินนัก

***(ขอแก้ไขเพิ่มเติมตามที่เพิ่งได้รับแจ้งมาว่าเรื่องไหว้ เราแจ้งฝ่ายซาอุฯ แล้วครับว่าจะให้ นรม. ไหว้ แต่ทางสำนักพระราชวังคงไม่ได้ไปบรีฟมกุฎฯ เอง

ส่วนกองทหารเกียรติยศ ตกลงกันทั้งสองฝ่ายจะเป็นตรวจแถวและเคารพเพลงชาติทั้งสองฝ่ายกัน)

ท้ายสุดเมื่อนั่งอ่านแถลงการณ์ และใช้เวลาตรองมากขึ้น ก็มาคิดได้ว่า ที่พยายามวิเคราะห์หาสาเหตุเบื้องหลังว่าทำไมจู่ๆมันจึงเกิดขึ้น และมันน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นไหมนั้น เอาเข้าจริง มันก็อาจเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ คือมันก็เป็นไปได้ว่าทุกอย่างมันมาอย่างพอเหมาะพอเจาะช่วงนี้พอดี ไม่ได้มีอะไรเบื้องหลังหรือลึกอะไรมากไปกว่าที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียซึ่งปัจจุบันเป็นอีกสายกับราชวงศ์เดิมและเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้ยึดติดกับอดีตนัก ต้องการขยายความร่วมมือใหม่ๆ รวมทั้งกับไทยด้วย

จึงกลายมาเป็นการเยือนครั้งนี้ และแม้ว่าในแง่ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศที่ทั้งสองประเทศต่างมีปัญหาด้านสิทธิมนุษย์ชนอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้คงไม่ด้วยช่วยอะไรในแง่นี้ แต่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ได้ย่อมมีผลดีทางเศรษฐกิจของไทยอย่างแน่นอน และแม้มันก็เหมือนส้มหล่น แต่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งผลงานของรัฐบาลปัจจุบันอยู่ดี

แต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้มีที่มาอย่างชอบธรรม มีความสง่างามเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง (ไม่ใช่บนกฎกติกาที่แสนจะเขย่ง มี ส.ว. 250 ที่แต่งตั้งเองมาโหวตให้ รวมทั้งการแจกกล้วยต่างๆ ที่ผมมองว่านี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยหรือความชอบธรรมที่สง่างามแต่อย่างใด)

เชื่อว่าประชาชนชาวไทยทั่วไปคงจะดีใจกว่านี้อีกมาก”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image