“นภาพร” ชี้คนไทยอยู่ในยุค “น้ำตารินหน้าปั๊ม” หลังรัฐบาลลดภาษีน้ำมัน 3 บาท แต่ราคาหน้าปั๊มยังขึ้นไม่หยุด งง!! ตัวเลขโควิดขาขึ้นแต่มาตรการรัฐบาลกลับทำเหมือนกำลังอยู่ในช่วงขาลง
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ น.ส.นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดประจำวันที่สูงขึ้นกว่า 28,000 ราย ที่รวมการตรวจแบบ ATKเข้าไปด้วยแล้ว ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ สวนทางกับมาตรการต่างๆที่รัฐบาลทำราวกับว่าตัวเลขโควิดกำลังลดลงหรือกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ทั้งการงดแถลงข่าวประจำวันของ ศบค.หรือการพยายามยกเลิกการรักษาผู้ป่วยโควิดในภาวะฉุกเฉินที่รัฐบาลพูดความจริงไม่หมด จนหลายฝ่ายต้องออกมาเรียกร้องให้คงการรักษาแบบเดิมเอาไว้ก่อน รอจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างแท้จริง
“เหมือนกับการแก้ปัญหาน้ำมันแพงด้วยการลดภาษีสรรพสามิตลง 3 บาทที่แทบจะไม่ได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชนลงเลยเพราะลดแล้วราคาน้ำมันก็ยังแพงอยู่ดีเนื่องจากเป็นการลดภาษีที่น้อยเกินไป แถมยังตัดสินใจด้วยความล่าช้ารอจนข้าวของเครื่องใช้ขึ้นราคาไปหมดแล้ว ทุกวันนี้เวลาเติมน้ำมันประชาชนต้องน้ำตารินหน้าปั๊มทุกครั้ง เพราะแม้ว่ารัฐบาลจะประกาศลดภาษีแต่ราคาหน้าปั๊มกลับยังขึ้นไม่หยุด เนื่องจากราคาดีเซลมันพุ่งเกินกว่าที่ลดภาษีไปแล้ว ที่เป็นอย่างนี้เพราะพวกท่านไม่ยอมรับฟังเสียงเรียกร้องให้ลดภาษีลงลิตรละ 5-6 บาท มาตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่” น.ส.นภาพรกล่าว
น.ส.นภาพร กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ ขาดการวางแผนล่วงหน้า ไม่เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจ รอให้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้วค่อยมาแก้ไขในภายหลัง จึงไม่แปลกที่ผู้นำภาคธุรกิจหรือภาคเอกชนจะออกมาเรียกร้องให้รีบยุบสภา เพราะรู้ดีว่ายิ่งรัฐบาลนี้อยู่นานก็จะยิ่งเสียโอกาสในการแก้ปัญหาประเทศ ล่าสุด พล.อ.ประวิตรออกมาประกาศว่าจะอยู่ยาวจนล้มไปเอง จึงอยากให้ถามประชาชนก่อนดีไหมว่าพวกเขาอยากให้รัฐบาลอยู่ต่อไปอีกหรือไม่ แค่นี้ก็อยู่ในสภาพ “จนเจ็บเจ๊ง” เกินพอแล้ว และขอให้ทุกฝ่ายติดตามการอภิปรายของฝ่ายค้านในวันที่ 17-18 ก.พ. นี้ให้ดี เพราะพอฟังจบแล้ว อาจจะอยากให้พลเอกประยุทธ์ออกไปเลยก็ได้ ไม่ต้องรอจนกว่ารัฐบาลจะล้มด้วยตัวเอง