แฟลชสปีช : ที่ ‘น้องตู่’ จะอยู่ต่อเนียน

ถึงวันนี้ไม่มีใครเชื่อแล้วว่า “รัฐบาลจะอยู่โดยไม่ปรับเปลี่ยนต่อไปได้”

ที่ผ่านมาเมื่อมีแรงกดดันทางการเมืองสูงๆ ทางออกที่ “ผู้นำรัฐบาล” จะเลือกใช้ได้มี 3 วิธี คือ “ปรับ ครม.” หรือ “ลาออก” หรือ “ยุบสภา”

นาทีนี้ “ยุบสภา” คือวิธีที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าถูกบังคับให้เลือกมากที่สุด เพราะเงื่อนไขที่จะทำให้ เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ร้อนฉ่าที่สุดคือ “เสียงสนับสนุนในสภา”

มีเสียงขู่ให้ขรม ว่า “อภิปรายไม่ไว้วางใจแบบให้สภาลงมติ” ที่จะเกิดขึ้นในเดือน “พฤษภาคม” เสี่ยงอย่างยิ่งที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะถูกสภาผู้แทนราษฎรโหวตขับตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น จึงประเมินว่า “ลุงตู่” ควรจะเลือก “ยุบสภา” ก่อนถึงวาระนั้น ด้วย “ลาออก” เป็นทางออกที่ไม่เคยมีผู้นำคนไหนเลือกอยู่แล้ว เพราะเท่ากับยอมรับความผิดพลาดให้ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ เสียหายต่อวงศ์ตระกูลไปถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน เหลน โหลน

Advertisement

ขณะที่มองว่า “ปรับ ครม.” เป็นทางออกที่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้

แต่ความเป็นจริงแล้ว หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะเห็นว่า “ปรับ ครม.” เป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด

ลองให้ละเอียดเพื่อเห็นปมปัญหาจริงๆ จะพบว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะอยู่ได้หรือไม่ได้นั้น ข้อมูลของฝ่ายค้านที่นำมาโจมตี แม้จะเป็นจริงและสร้างผลสะเทือนต่อศรัทธาประชาชนอย่างไร ก็แทบไม่เกี่ยวกับการสั่นสะเทือนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเลย เพราะศรัทธาประชาชนไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ “บิ๊กตู่” หวั่นไหวอะไรอยู่แล้ว

Advertisement

เมื่ออยู่ได้หรือไม่ได้ ปัญหาอยู่ที่เสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎร

และเมื่อเจาะลึกลงไป ที่สุดแล้วความอ่อนไหวเกิดจากความแตกแยกในพรรคแกนนำรัฐบาล คือ “พลังประชารัฐ” หากควบคุมได้ ฤทธิ์เดชของพรรคร่วมรัฐบาลจะอ่อนแรงลง จนรักษาเสถียรภาพไว้ได้

เหมือนที่ไม่มีทางที่จะควบคุม “พลังประชารัฐ” ได้ แต่นั่นกลับไม่ใช่ หากแก้ปัญหาได้ถูกจุด

การดูแล “พลังประชารัฐ” ขึ้นอยู่กับ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” แม้ส่วนหนึ่งจะแยกตาม “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ไปตั้ง “พรรคเศรฐกิจไทย” แต่ “ธรรมนัส” นั้นเป็นที่รู้กันว่าอยู่ในคาถาของ “พล.อ.ประวิตร”

เอกภาพของ “พลังประชารัฐ” กับ “เศรษฐกิจไทย” ขึ้นอยู่กับ “พล.อ.ประวิตร” จะช่วยเสกให้เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าช่วยก็จบ

แต่ปัญหาอยู่ที่จะจบลงได้อย่างไร เมื่อ “ความรักของพี่น้อง 3 ป.” คือ “พี่ใหญ่ป้อม-น้องกลางป๊อก-น้องเล็กประยุทธ์” ดำรงอยู่แบบ “พี่ใหญ่” เหนื่อยสายตัวแทบขาด เพราะต้องรับภาระดูแลกองหลังทั้งหมด ไม่ว่าเสบียงมาคุมเสียง ส.ส. เลยไปถึงสายใจอ่อนล้ากับการบริหารคอนเน็กชั่นเพื่อรักษาการสนับสนุนไว้

เพื่อให้ “น้องเล็ก” เชิดหน้าชูคอในนามของผู้ยิ่งใหญ่ได้ โดยไม่ต้องอาทรร้อนใจ ขณะที่ “น้องกลาง” ไม่ได้ขยับอะไรในทางที่จะช่วยเหลือในยามที่ “ฐานที่มั่นถูกเขย่า” มีแต่เติมเชื้อไฟให้ความแตกแยกขยายขึ้น จนที่สุดกระทบต่อเครือข่ายที่ “พี่ใหญ่” พยายามดูแลรักษาไว้

แต่กลับกลายเป็นว่า “พี่ใหญ่” กลับเป็นแค่ “รองนายกรัฐมนตรี” ที่ได้ดูงานซึ่งไม่มีความหมายอะไรนักตามที่ “น้องเล็ก” เมตตามอบหมายให้ ผิดกับ “น้องกลาง” ที่คุม “กระทรวงมหาดไทย” กางความยิ่งใหญ่คุมกลไกปกครอง อันเป็นหัวใจของอำนาจทั่วประเทศ

ไม่แปลกหรอก เมื่อ “พี่ใหญ่” เป็นหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาล เหลียวมอง “หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล” ที่นั่ง “รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญ” กันถ้วนทั่ว ไว้เว้นแต่พรรคเล็กอย่าง “ชาติไทยพัฒนา” หัวหน้ายังได้นั่ง “รัฐมนตรีว่าการ” ไม่รอ “น้ำใต้ศอก” ที่รอรองดื่มเท่าที่ “น้องเล็ก” จะเมตตาอย่างที่เป็นอยู่

ลองนึกดูว่า เมื่อคิดถึงตรงนี้ “หัวใจของพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไร” ดังนั้น หาก “น้องเล็ก” พอที่จะเหลือหัวใจ มองเห็น “ความน่าสลดของพี่ใหญ่” มีน้ำใจโดยไม่ต้องให้ทวงถามบ้าง

แล้วจัดการ “ปรับ ครม.” ให้ตำแหน่งที่ “สมศักดิ์ศรี” กับพี่ใหญ่ อย่างน้อยไม่ให้น้อยหน้า “น้องรอง” ที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นอย่างไร

จะทำให้ “พี่ใหญ่” มีพลังที่จะจัดการกับเอกภาพใน “พลังประชารัฐ” และเครือข่ายให้ยกมืออย่างที่ “น้องเล็ก” อยากให้เป็น

เมื่อพรรคแกนนำขันแข็งเสียแล้ว ย่อมสยบพรรคร่วมได้ไม่ยาก “ปรับ ครม.” โดยการ “คืนศักดิ์ศรีให้พี่ใหญ่” จึงเป็นหนทางแก้ “วิกฤตแกนนำ” ที่เนียนและได้ผลที่สุด

เพียงจะมองเห็นทางออกที่ดีกว่านั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า “น้องเล็ก” จะให้ราคา “บุญคุณของพี่ใหญ่” ที่เกื้อหนุนค้ำชูให้ชีวิตเต็บโตมายาวนานแค่ไหน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image