202 วันในเรือนจำ ‘อานนท์’ เปิดใจ ‘ได้ใช้เวลาครุ่นคิด’ เชื่อเมล็ดพันธุ์รอผลิบาน

202 วันในเรือนจำ ‘อานนท์’ เปิดใจ ‘ได้ใช้เวลาครุ่นคิด’ เชื่อเมล็ดพันธุ์รอผลิบาน

ได้รับการปล่อยตัวเรียบร้อยแล้วในช่วงค่ำวันนี้

28 กุมภาพันธ์ สำหรับ อานนท์ นำภา หลังศาลอาญากรุงเทพใต้ให้ประกันตัว ประชาชนมากมายรอรับหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

จากก้าวแรกในรั้วเรือนจำครั้งล่าสุด นับเป็นการขังรวม 202 วัน นั่นคือเกินครึ่งปี !

อานนท์ สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวสีดำ เดินออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกับครอบครัวที่มารอรับ พร้อมกับชู 3 นิ้ว

Advertisement

เปิดใจท่ามกลางวงล้อมของสื่อมวลชนและประชาชนร่วมอุดมการณ์ ขอบคุณพี่น้องที่มาต้อนรับวันนี้ และขอบคุณพี่น้องที่ช่วยกัน ให้กำลังใจและช่วยเหลือในเรื่องการประกันตัวกันอย่างท่วมท้น

“ขอบคุณเรือนจำที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีข้างใน จากที่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตยเรือนจำก็จะเป็นเสมือนบ้านของผู้ต้องขังอยู่ เราต้องร่วมกันสู้ให้ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และสุดท้ายขอบคุณศาลยุติธรรมที่กรุณาปล่อยตัวชั่วคราวให้ตนต่อสู้คดีและออกไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นยังเหลือเพื่อนเราอีก 5 คน ที่เป็นทะลุแก๊ส ทะลุฟ้าโดนคุมขังอยู่ ซึ่งทีมทนายความจะทำการประกันตัวและช่วยเหลือให้ครบทุกคนต่อไป ผมเชื่อว่าการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ได้จุติได้เริ่มต้นและเป็นแรงให้กับคนรุ่นต่อไป” อานนท์กล่าว

เมื่อถามว่าการอยู่เรือนจำครั้งนี้เกือบ 7 เดือนรู้สึกแตกต่างจากครั้งอื่นอย่างไร อานนท์เปิดเผยว่า ได้ใช้เวลาครุ่นคิดและทบทวนหลายๆอย่างถึงการต่อสู้และเรื่องราวที่ผ่านมา ตนคิดว่าถึงวันนี้การต่อสู้เรื่องสิทธิเสรีภาพเรื่องความเสมอภาค ได้กลายเป็นพันธกิจของคนรุ่นใหม่ไปแล้ว และรูปแบบของการต่อสู้คิดว่าสังคมเก่าคงตามไม่ทัน

“ถ้าถามผมว่าต่อไปจะมีการต่อสู้อะไร ตอบไม่ได้เพราะคนรุ่นใหม่ไปอีกแบบหนึ่งแล้ว วิธีคิด วิธีการแสดงออก การต่อสู้ของเขา ต่อไปนี้จะมีแต่ความตื่นเต้น และเราเดาไม่ถูก ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2563 พวกเขาได้พาเราขึ้นรถไฟเหาะมาแล้ว ผมคิดว่าต่อไปนี้ ก็จะมีรูปแบบของการต่อสู้ซึ่งพิสดาร และเป็นที่มุ่งไปสู่ชัยชนะร่วมกันของคนทั้งสังคม ผมไม่ใช้คำว่าชัยชนะของประชาธิปไตยเท่านั้น แต่มันจะเป็นชัยชนะของคนทั้งสังคม” อานนท์กล่าว

ส่วนเรื่องเงื่อนไขการปล่อยตัวของศาล อานนท์ระบุว่า เงื่อนไขของศาลจะเคารพทุกข้ออย่างเคร่งครัด ในขณะเดียวกันเรื่องเงื่อนไขการต่อสู้ก็ต้องเคารพมวลชนเช่นกัน ถ้ามวลชนมีอะไรให้ตนทำหรือกำหนดให้เป็นคนพูดหรือคนสปีคเกอร์ เมื่อถึงเวลาอันสมควรตนจะทำหน้าที่ของตนโดยเคร่งครัดต่อเงื่อนไขของศาลและเคร่งครัดต่อหน้าที่ ต่อขบวนด้วย

เมื่อถามต่อไปว่าหลังจากออกมาต้องการทำอะไรอานนท์กล่าวว่าทนายความเป็นหน้าที่หลัก และคดีของพี่น้องเยอะมาก เป็นผู้ต้องหากว่าพันคน หลายร้อยคดี ซึ่งสิ่งนี้เป็นหน้าที่หลักที่ตนทำ ส่วนหน้าที่อื่นๆต่อขบวน ตนคิดว่ากลายเป็นนิวนอร์มอลของคนรุ่นใหม่ไปแล้ว เกี่ยวกับการต่อสู้ อาจจะไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่หวือหวา หรือโลดโผน แต่คิดว่าเมื่อถึงเวลา หน้าหนาวก็ต้องหนาว หน้าฝนก็ต้องมีฝนมา เวลาอันสมควรพวกเราก็จะออกมาต่อสู้อย่างคึกคักอีกครั้ง

ส่วนเรื่องสถานการณ์ในสภาค่อนข้างสั่นคลอนฝ่ายรัฐบาลกับบทบาทของรัฐบาลที่อ่อนแอตอนนี้ อานนท์กล่าวว่าตนคิดว่าคนที่เป็นประชาชนที่อยู่บนท้องถนนจะเป็นตัวกำหนดทิศทางทางการเมืองในที่สุด พรรคการเมืองก็ดีหรือว่าคนที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ดี เมื่อแรงข้างนอกได้บ่งชี้ว่าพวกเขาต้องการเสรีภาพกับประชาธิปไตย สุดท้ายพรรคร่วมคงต้องถอยเพื่อมายืนเคียงข้างประชาชน ตนไม่คิดว่าพลเอกประยุทธ์จะอยู่ค้ำฟ้า และไม่คิดว่าพลเอกประยุทธ์จะมีความกล้าในการรับผิดชอบอะไร ตนคิดว่ามวลชนหรือประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนจะเป็นตัวกระตุ้นทำหน้าที่ให้ประเทศขับเคลื่อนไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์

นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้ถามถึงในเรื่องสุขภาพที่เคยติดโควิด19ตอนอยู่ในเรือนจำ อานนท์กล่าวว่าตอนอยู่ข้างในเรือนจำ ตนออกกำลังกายทุกวันมองหน้าพลเอกประยุทธ์และกระโดดเชือกไปทุกวัน น้ำหนักลดไป 7 กิโลกรัม เพราะเมื่อถึงเวลาบวกก็ต้องพร้อมบวก

“ผมคิดว่าภาระการต่อสู้มันกลายเป็นนิวนอร์มอล เป็นความปกติใหม่ของทุกคน ของสื่อมวลชนด้วยซ้ำที่เป็นความปกติใหม่ที่ ตัวอย่างเช่น เรื่อง โรฮิงญาเมื่อ 7 ปีที่แล้วเรามองไปอีกแบบหนึ่ง ในวันนี้เราก็มองไปอีกแบบหนึ่ง คิดว่าเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มันฝังลึกลงไปในคนในสังคมไปแล้ว ผมคิดว่าถึงที่สุดแล้วฝ่ายประชาธิปไตยมีความเป็นจริงมากกว่ามีความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า”

เมื่อถามว่าการต่อสู้หลังจากนี้มีความหวังมากแค่ไหน อานนท์กล่าวว่า เมล็ดพันธุ์ที่ได้หว่านลงไปเมื่อปีสองปีนี้ทั่วถึง และรอการผลิบานเท่านั้น ไม่มีอะไรที่มาทำลายตรงนี้ได้ คนรุ่นใหม่ก็ดีหรือคนที่เราผ่านสังคมมา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดงก็ดี สุดท้ายจะสรุปร่วมกันว่าสังคมต้องการเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เรื่องความเท่าเทียม ผมเชื่อมั่นในคนรุ่นใหม่ด้วยความสัตย์จริง คิดว่าคนเหล่านั้นหวังดีต่อประเทศชาติไม่ว่าจะเป็นน้องๆที่ออกมาต่อสู้ เพนกวิน พริษฐ์ ชิวรักษ์, ไผ่ ดาวดิน ไมค์ ภานุพงษ์ จาดนอก ,รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือคนอื่นๆ รวมถึงคนที่เป็นทะลุแก๊สหรือทะลุฟ้า ทุกคนหวังดีต่อบ้านเมือง และรูปแบบการต่อสู้อาจจะแตกต่างกันไป แต่คิดว่าสุดท้ายแล้วเขาจะพิสูจน์ตัวเองว่าสิ่งที่เขาทำเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองไม่ได้เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัว

ต่อกรณีที่นายสนธิญา สวัสดี เข้ายื่นหนังสือที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ตรวจสอบกองทุนราษฎรประสงค์ นายอานนท์กล่าวว่า ตามจริงไม่ใช่เรื่องซับซ้อน มีเพื่อนติดคุกเราก็ระดมเงินมาประกันตัว และอยากฝากกำลังใจไปให้คณาจารย์ที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยที่เอาชื่อตัวเองมาขึ้นเขียงเพื่อเป็นกำลังใจดำเนินการประกันตัวพวกเราทุกคน

ส่วนเรื่องเงินประกันตัวที่สูงมาก และ เรื่องเงินโอนช่วยเหลือกว่า 10 ล้านภายใน 3 ชั่วโมง อานนท์กล่าวว่าทราบจากนายประกันว่า 10 กว่าล้านมาจากคน 5-6 หมื่นส่วนใหญ่เป็น 112 บาทเป็นสัญลักษณ์ ไม่มีข้อกังขาอยู่แล้ว คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามตนคงคิดว่ามีคนเชื่อถือตนขนาดนี้เลยหรือ แต่คิดว่าสุดท้ายความจริงจะปรากฏเองว่าเงินที่เข้ามาเป็นเงินที่มาจากชาวบ้านจริงๆ การโอนบางทีมีค่าธรรมเนียมมันมีค่าใช้จ่าย บางคนโอนมา 20 บาท 10 บาท มีน้อยเขาก็ช่วยน้อย ตนไม่ได้ต้องการที่คนที่มาช่วยแสดงออกคน 10 ล้านหรือ20 ล้าน แต่คิดว่าคนตัวเล็กๆนี้ที่ช่วยประคับประคองกันมา คนที่หาเช้ากินค่ำคนที่เห็นด้วยกับเรา นิสิตนักศึกษานักเรียนที่โอนเข้ามา ตนคิดว่านั้นเป็นกำลังใจ เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเราต่อสู้ร่วมกัน

“ผมคิดว่าสุดท้ายเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องความเสมอภาค หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่มันจะต้องเป็นไป เราปฏิเสธโลกที่มันหมุนไปไม่ได้ มียุคหนึ่งที่คนออกมาบอกว่าโลกกลม โดนทำร้าย โดนทุบตี โดนกักขัง แต่วันหนึ่งมันจะพิสูจน์ว่าความจริงคืออย่างไร ผมคิดว่าวันนั้นเราค่อยๆพิสูจน์ไป” อานนท์ทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image