สภาวะอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน อันดำรงอยู่ภายในพรรคพลังประชารัฐ กำลังเป็นหินลองทองอันคมแหลม ไม่เพียงแต่ชี้อนาคตของพรรคหากแต่ยังชี้อนาคต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จึงเท่ากับเป็นการตอกย้ำการเข้าสู่ ”ลานประหาร” ในเดือนพฤษภาคม หากแต่ยังตอกย้ำอาการ “ดิ้น”ครั้งใหญ่ในทางการเมือง
ข่าวลือถึง “การยุบสภา” จึงถูก “ปล่อย” ออกมาอย่างเป็นระบบ
แม้จะรู้ว่าการเลือกตั้งคือโอกาสของพรรคเพื่อไทย แม้จะรู้ว่าสำ ทับจาก โทนี่ วู้ดซั่ม ที่จะหวนกลับประเทศภายใน พ.ศ.2565 จะสะ ท้อนความมั่นใจเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
กระนั้น ความหวังอันริบหรี่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คือการชิงความ ได้เปรียบในแบบวิธีของการเลือกตั้ง
นั่นคือ การล้มร่างพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ว่าด้วยพรรคการ
เมืองให้กลับมาอยู่ในมือและจะอาศัยการตรา”พระราชกำหนด”มา กำหนดทิศทางและชี้ชะตาของ”การเลือกตั้ง”
อย่างน้อยก็ให้สามารถรักษาสถานะเหมือนเดือนมีนาคม 2562
หากมีการตัดสินใจยุบสภาก่อนเดือนพฤษภาคม ด้านหนึ่ง จึงเป็นการยอมรับอย่างเป็นรูปธรรมว่า การเดินเกมทางการเมืองที่ให้ผ่าน ร่างพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ว่าด้วยพรรคการเมืองคือการพลาด
เป็นความพลาดก่อนเกิดความขัดแย้ง แตกแยกและแยกตัวครั้ง ใหญ่ภายในพรรคพลังประชารัฐ
เป็นความพลาดที่สะท้อนไม่เพียงจากบาทก้าวที่ผิดแล้วผิดอีกในการรุกไล่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หากยังเป็นความผิดพลาดเนื่อง จากความไม่เป็นเอกภาพภายในของ”กลุ่ม 3 ป.”เอง
กระทั่งสภาวะบานปลายกระทั่งพิมพ์เขียวที่คิดจะคุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพรป.ก็บิดเบี้ยวไม่เป็นไปตามแผน
ภาวะปั่นป่วนรวนเรใน”พลังประชารัฐ”จึงกลายเป็น”บทสรุป”
สภาพการณ์อันกำลังเกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐคือรูปธรรมแห่ง ความล้มเหลวของ”กลุ่ม 3 ป.”ในการจัดตั้งพรรคการเมืองจากความ จัดเจนของ”พรรคทหาร”
เป็นเส้นทางของเสรีมนังคศิลา สหประชาไทย สามัคคีธรรม
ซากปรักหักพังของพรรคพลังประชารัฐจึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องพิสูจน์ หากแต่ยังประจานถึงความสามารถในทางการเมือง
ลางแห่งหายนะจากแนวโน้ม”การเลือกตั้ง”จำเป็นต้องตัดสินใจ