‘ชาญวิทย์’ ควง พนัส-ทนายด่าง ลุยยื่น ผบ.ตร. ปมถูกชายฉกรรจ์คุกคามถึงคอนโด ยัน ‘ผิดอาญาแผ่นดิน’

‘ชาญวิทย์’ ควง พนัส-ทนายด่าง ลุยยื่น ผบ.ตร. ปมถูกชายฉกรรจ์ผมสั้นคุกคามถึงคอนโด ยัน ‘ผิดอาญาแผ่นดิน’ รองโฆษกบช.น.เผย น.1 จัดกำลังตรวจสอบให้เกิดความปลอดภัย

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 4 เมษายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางเข้าแจ้งความต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรณีถูกชาย 4 ราย ติดตามถามหาตนถึงที่พัก เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘ชาญวิทย์’ เผย ชายฉกรรจ์ 4 คนตามถึงคอนโด วงจรปิดจับภาพชัด ขับกระบะ แต่ปิดบังป้ายทะเบียน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ ได้เดินทางมาพร้อมกับนักกฎหมายและทนายความ อาทิ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือทนายด่าง จากทนายความศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังมี รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปจนถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือเจี๊ยบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง มาร่วมให้กำลังใจศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ ด้วยการมอบดอกไม้บริเวณหน้าอาคารกองรักษาการอีกด้วย


Advertisement

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ กล่าวว่า วันนี้ตนมาเพื่อที่จะแจ้งความต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ตนไม่ได้อยู่ในห้องพัก คอนโดแถวตลิ่งชัน ก็มีชาย 4 คน นั่งรถกระบะเข้าไป โดยรถกระบะนั้นมีการอำพรางป้ายทะเบียน หมายความว่าปิดเอาไว้ไม่ให้เห็น มี 2 คนลงจากรถไปพบเจ้าหน้าที่ของคอนโดมิเนียม ถามหาตนว่าอยู่หรือไม่ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตอนนั้นตนไม่อยู่ ยังทำงานอยู่ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เขาจึงให้เจ้าหน้าที่ของคอนโดมิเนียมพาขึ้นไปหน้าห้องพัก เมื่อทราบว่าตนไม่อยู่ก็ถ่ายรูปเอาไว้

“เจ้าหน้าที่คอนโดมิเนียมบอกว่าเขามีสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผม เขามาเพื่อตามคนจำนวนหนึ่งที่ไปยุ่งกับม็อบ ยุ่งกับเยาวชนคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ ถ้าจะว่าจริงๆ ผมก็ให้ความเห็นใจและเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเยาวชนคนหนุ่มสาว เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ตรงประเด็นกับปัญหาบ้านเมือง เป็นประเด็นซึ่งคนรุ่นผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน ได้ฟังจากคนรุ่นใหม่ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของสังคมที่สำคัญ

หากว่าผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุรับฟังคนหนุ่มสาว จะสามารถปฏิรูปประเทศของเราได้ เชื่อว่าสังคมไทยจะผ่านไปสู่อนาคตด้วยการประนีประนอม คือประเด็นหลักที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองภายใน โรคระบาดโควิด และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในยูเครน ซึ่งมีผลกระทบอย่างแน่นอนต่อผู้คนในบ้านเมืองเรา ไม่ว่าจะเจเนอเรชั่นไหนก็ตาม” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ กล่าว

Advertisement

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่พรรคการเมืองหลายพรรคกำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่เราน่าจะช่วยกันผลักดันเพื่ออนาคตที่ดีกว่า งดงามกว่าของประเทศชาติเรา ตนจึงมาที่นี่เพื่อยื่นหนังสือต่อผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแง่ที่ว่าน่าจะต้องช่วยบ้านเมืองด้วยการดูประเด็นนี้

“เพราะการที่มาเยี่ยมเยียนผม และไปเยี่ยมเยียนคนจำนวนมาก รวมทั้งคนสูงอายุ ผมเองอายุ 81 แล้ว ต้องถามอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ว่าผิดอาญาแผ่นดินตามมาตราใดบ้าง ซึ่งต้องปรึกษานักกฎหมาย

เอาเข้าจริงอยู่จนแก่ป่านนี้แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าการไปเยี่ยมเยียนประชาชน และพ่อแม่ของเด็กๆ ‘ผิดอาญาแผ่นดิน’ ฟังจากอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์และนักกฎหมาย ทนายความ ผมอยากให้เราทั้งหลาย ทั้งผู้ที่ให้กำลังใจผมที่นี่ และคนที่อยู่ทางบ้าน ช่วยกันผลักดันเพื่ออนาคตอันดีของประเทศชาติและราษฎรไทย” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ ระบุ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เคยถูกคุกคามอย่างนี้มาก่อนหรือไม่?

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เผยว่า ก็ไม่เชิง ตนอยู่ในกลุ่มที่รณรงค์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แล้ว และทำงานกับ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในสมัยที่ท่านเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์ บอกได้ว่าก็ถูกคุกคามเหมือนกัน แต่ตอนนั้นตนยังหนุ่มยังแน่น ยังไม่มีชื่อเสียง จึงไม่สาหัสสากรรจ์เท่ากับคนยุคเบบี้บูมเมอร์ หรือเจ้านายของตนอย่าง ดร.ป๋วย หรือคนที่ตนเคารพรักมากๆ คือ อ.ปรีดี พนมยงค์

“อาจจะมีเหตุการณ์ที่ไม่ใหญ่โตนัก อย่างการแชร์เฟซบุ๊ก แล้วถูกข้อหาเกี่ยวกับมาตรา 116 ซึ่งตำรวจและอัยการสั่งให้ไม่ฟ้องเด็ดขาด ทำให้หลุดรอดมา จนกระทั่งมาถึงกรณีนี้ หวังว่าจะหลุดรอดอีกเช่นเดียวกัน เอาเข้าจริงขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างยิ่ง” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ กล่าว

ถามถึงความกังวลหลังจากนี้ ต้องระวังตัวมากน้อยแค่ไหน?

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เปิดเผยว่า เมื่อได้ข่าวก็วิตกกังวลเหมือนกัน แต่ด้วยความโชคดีของตนที่มีเพื่อนสนิทมาก คือ อ.พนัส อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ซึ่งท่านรู้กฎหมาย มีคนที่รู้จักมาก อย่างทนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ก็ลูกศิษย์ตน

“คนเดือนตุลาก็รู้จักกันมา ถ้าเป็นอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ นักศึกษาที่รู้จัก ก็มีทั้งซ้ายจัด ซ้ายหน่อย กลาง หรือขวานิด ขวาจัด มีทั้งนั้น ผมสอนหนังสือมาตั้งแต่ปี 2516 จนถึงปัจจุบัน” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ ชี้

เมื่อถามถึงสาเหตุที่มาแจ้งความต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่เลือกที่จะไปแจ้งความ สน.ในพื้นที่?

นายกฤษฎางค์ หรือ ทนายด่าง ระบุว่า ที่แจ้งความกับท่าน ผบ.ตร.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราจะให้มีการลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน จากนั้นศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ จะยื่นหนังสือต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“สาเหตุที่ไม่ได้แจ้งความในท้องที่ เหตุเกิดที่ปิ่นเกล้าคอนโดมิเนียม บ้านพักอาจารย์ เวลากลางวันแสกๆ พฤติกรรมแบบนี้อาจารย์โดนมาหลายครั้ง ตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519 ถือว่าเราเป็นราษฎร มาพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ให้สังคมได้พิสูจน์ว่าเรื่องนี้จะเอาใจใส่แค่ไหน

เรามีภาพคนที่กระทำความผิดทั้ง 4 อย่างชัดเจน ดูจากรูป เป็นชายอายุประมาณ 30-50 ปี อาจารย์จึงคิดประเด็นนี้และมีความเห็นว่า สน.ท้องที่ สน.ตลิ่งชัน ไม่ควรจะไปแจ้ง เพราะมีน้องๆ เยาวชนที่เคลื่อนไหวก็ถูกตำรวจตลิ่งชันไปนั่งเฝ้าหน้าบ้าน ผมไม่มั่นใจในการทำงานของตำรวจ สน.ตลิ่งชัน อาจารย์เองก็ไม่มั่นใจจึงมาที่นี่ เป็นสิทธิของเรา เราเป็นประชาชนมีสิทธิที่จะไม่มั่นใจการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งกินเงินเดือนของเรา เพราะ ‘ผลเกิดจากเหตุ’ จะให้เราเชื่อได้อย่างไร เราจึงจะยื่นหนังสือฉบับนี้” นายกฤษฎางค์กล่าว

จากนั้น ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ พร้อมด้วยทนายความ เดินเท้าเข้าไปแจ้งความ และยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านตัวแทน

สำหรับจดหมายเปิดผนึกถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่อง “ขอให้ตรวจสอบกรณีการข่มขู่คุกคามโดยบุคคลผู้อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ” มีรายละเอียด ดังนี้

หนังสือนี้ ข้าพเจ้า ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอแจ้งมายังท่านในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบ หาข้อเท็จจริง และสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ในกรณีที่ข้าพเจ้าได้รับความเดือดร้อน โดยถูกข่มขู่คุกคามจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวคือ

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2565 เวลากลางวันหลังบ่ายโมง ได้มีชาย 4 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ เดินทางโดยรถยนต์กระบะส่วนบุคคล ปิดบังอำพรางหมายเลขทะเบียนรถไปยังอาคาร ป. ปิ่นเกล้าคอนโดมิเนียม ซอยชัยพฤกษ์ 9 ถนนบรมราชชนนี แขวงและเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่พักของข้าพเจ้า โดยบุคคลกลุ่มดังกล่าว จำนวน 2 คน ได้บุกเข้าไปในที่ทำการของเจ้าหน้าที่ประจำคอนโดมิเนียม โดยอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยมิได้บอกสังกัด ถือภาพถ่ายบัตรประชาชนของข้าพเจ้า และสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่คอนโดดังกล่าวในเวลานั้นหรือไม่ เมื่อเจ้าหน้าที่คอนโดแจ้งว่า ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่ที่ที่พักดังกล่าว กลุ่มบุคคลที่อ้างตนเป็นตำรวจ ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่พาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักของข้าพเจ้า เมื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าในเวลานั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในห้อง ชายกลุ่มนั้นจึงได้ถ่ายภาพห้องพักของข้าพเจ้าและเดินทางกลับ โดยก่อนหน้านั้น ได้บอกกับเจ้าหน้าที่คอนโดมิเนียมว่ามาหาข้าพเจ้าเกี่ยวกับกรณีเรื่องม็อบ ซึ่งหมายความถึงการชุมนุมทางการเมืองของเยาวชนในขณะนี้

ข้าพเจ้าเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอาญาแผ่นดินในหลายบทกฎหมาย เพราะเป็นการข่มขู่คุกคาม และเป็นความผิดต่อเสรีภาพ รวมทั้งหากเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ย่อมเป็นความผิดของเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่อีกส่วนหนึ่งด้วย

ข้าพเจ้าได้แจ้งเรื่องราวเหล่านี้ทันทีต่อสาธารณชน มิตรสหาย ญาติพี่น้อง และลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งสื่อมวลชนจำนวนมาก ซึ่งเป็นข่าวที่แพร่หลายพอสมควร โดยหวังว่าจะได้รับการติดต่อประสานงาน สอบถามข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามกฎหมาย แต่ปรากฏว่าจนบัดนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือผู้รับผิดชอบใดใด ติดต่อเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวจากข้าพเจ้าเลย

ดังนั้น ด้วยเหตุจำเป็นที่กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าจึงขอแจ้งให้ท่านในฐานะผู้บังคับบัญชา สูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการสั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวโดยทันที และหากพบว่าเป็นการกระทำความผิดอาญา ขอให้สั่งการให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลผู้ก่อเหตุดังกล่าวโดยรวดเร็วทันที ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการปกป้องคุ้มครองประชาชน ตามหน้าที่ของท่าน

หากท่านมีความประสงค์ที่จะขอพยานหลักฐานเพิ่มเติมใดใดจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความยินดี และหากท่านได้ดำเนินการแล้ว ผลเป็นประการใด กรุณาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบโดยเร็วตามที่อยู่ข้างต้นด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง

ขอแสดงความนับถือ
(ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)


เวลา 15.00 น. วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น.ในฐานะโฆษก บช.น.กล่าวว่า ยืนยัน พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น.ไม่มีหลักการให้ตำรวจเข้าไปคุกคาม หรือข่มขู่ ในการปฏิบัติแต่ละพื้นที่จะมีบุคคลสำคัญพักอาศัยอยู่ เป็นข้อมูลท้องถิ่นในแต่ละ สน.เพื่อรักษาความปลอดภัยตามปกติ แต่ถ้า ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกรงว่าไม่เกิดความปลอดภัยสามารถแจ้ง สน.ตลิ่งชัน หรือ 191 ขณะนี้ ผบช.น.ทราบเรื่องและสั่งการ สน.ตลิ่งชัน จัดกำลังไปตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยส่วนหนึ่งแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image