‘นิพนธ์’ ปัดแกล้ง ‘แม่ธนาธร’ ยันซื้อที่ป่าจริง เปิดช่องอุทธรณ์-ยื่นศาลปกครองสู้

‘นิพนธ์’ ยัน ยึดที่แม่ธนาธรถูกต้องตาม กม. ปัดกลั่นแกล้งทางการเมือง ต้องทำเพราะมีคนร้อง เปิดช่องอุทธรณ์กรมที่ดิน-ต่อสู้ในชั้นศาลปกครอง ชี้ไม่มีอำนาจฟันอาญา

เมื่อเวลา 12.20 น. วันที่ 5 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลกรมที่ดิน ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเพิกถอนเอกสิทธิ์ถือครองที่ดิน นส.3 ก. ของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และบุตรอีก 2 คนคือ น.ส.ชนาพรรณ และ นายธนาธร ว่า นางสมพรมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมที่ดินภายใน 15 วัน เมื่ออุทธรณ์ต่อกรมที่ดินแล้วไม่เป็นผล นางสมพรมีสิทธิไปฟ้องศาลปกครองได้ เพราะถือว่าการเพิกถอนเป็นคำสั่งทางปกครอง จึงต้องไปดูว่าศาลปกครองจะพิจารณาอย่างไร

ทั้งนี้ ส่วนตัวยังไม่ได้ทราบว่านางสมพรยื่นเรื่องมาหรือยัง หากนางสมพรไม่ได้อุทธรณ์ก็ถือว่าจบ เพราะการเพิกถอนมีผลอยู่แล้ว และถือว่าไม่มีเอกสารสิทธินั้น โดยที่ดินดังกล่าวจะคืนสภาพเป็นที่ป่า การให้ศาลปกครองตรวจสอบถือเป็นเรื่องดี เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะศาลปกครองจะได้ดูพยานหลักฐานทั้งหมดว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่

เมื่อถามถึงกรณีที่นางสมพรระบุว่าถือครองที่ดินดังกล่าวมา 30 ปี ไม่มีปัญหา แต่เมื่อนายธนาธรเล่นการเมืองมีคดีเกิดขึ้น นายนิพนธ์กล่าวว่า กรณีนี้ให้ความเป็นธรรมกับนางสมพร เพราะนางสมพรไปซื้อที่ดินต่อมาจริง แต่เมื่อมีการร้องเรียนก็ต้องตรวจสอบ ซึ่งได้ความจริงว่ามีหนังสือจากกรมพัฒนาที่ดินและกรมป่าไม้มายืนยันว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ป่าถาวร ซึ่ง ครม.ประกาศตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 ทางกรมที่ดินไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

เมื่อถามว่าการดำเนินการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองต่อนายธนาธร นายนิพนธ์กล่าวว่า ตนยืนยันว่าไม่มีแน่นอน ซึ่งได้กำชับกรมที่ดินว่าต้องให้ความเป็นธรรม เมื่อไปดูสารบบการจัดซื้อที่ดิน จำนวน 60 แปลง หลายแปลงอาจจะอยู่ในเขตป่า ซึ่งทางนั้นก็รับทราบและยินดีรับโอน จึงมีผลว่านางสมพรอาจจะรับรู้ตั้งแต่ก่อนโอนแล้ว จึงเซ็นรับไว้

Advertisement

“ผมพยายามดูเรื่องนี้เพราะเกรงกลัวที่จะอ้างว่าใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ผมได้กำชับทุกฝ่ายไปทำให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด ซึ่งเมื่อผมมาดูแผนระวาง รวมถึงดูเจ้าหน้าที่เดินสำรวจและรับทราบรายงาน ก็ไม่มีทางอื่น เพราะระบบโครงข่ายการรังวัดด้วยดาวเทียมแบบจลน์ (RTK GNSS Network) ที่ใช้ตรวจพบความคลาดเคลื่อนน้อยมาก เพราะดูจากรูปถ่ายดาวเทียม ลงแผนที่เป๊ะหมด มีอยู่ 1 แปลง จาก 60 แปลง ที่บางส่วนคาบเกี่ยว ซึ่งถ้าคาบเกี่ยวนอกเขตก็ต้องให้เขา และให้เขาไป ในส่วนที่ไม่ติดก็ไปแก้โฉนดให้ถูกต้อง” นายนิพนธ์กล่าว

เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะคาบเกี่ยวกับคดีอาญาหรือไม่ นายนิพนธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของกรมที่ดิน ต้องไปดูว่าใครมีหน้าที่ดูแลเขตป่า เช่น กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ต้องว่าไป และใครมีอำนาจตามกฎหมายก็ต้องไปดูว่า สามารถดำเนินคดีอาญาได้หรือไม่ เพราะคดีอาญาต้องดูที่เจตนา ถ้าไม่มีเจตนาก็ว่ากันไป ถ้ามีเจตนาก็เข้าสู่คดีอาญา

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image