สัญญาณหลายสัญญาณในทางการเมืองเริ่มบ่งบอกถึงหนทางข้างหน้าสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่น่าจะราบรื่นเท่าใดนัก
เห็นได้จาก 1 สัญญาณอันมาจาก “ภายใน”ของพรรคพลังประชารัฐที่มิได้เป็นไปตามความคาดหวัง
นั่นก็คือ แม้ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา จะอำลาจากไปก็ปรากฏ พล.อ.กฤษณ์โยชน์ ศศิพัฒนวงษ์ และ พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร เข้ามามีบทบาท
เมื่อประสานเข้ากับ 1 อาการอันเกิดขึ้นกับกรณี “คลิปเงินยืม 15 ล้าน” อันมาพร้อมกับบทบาทของ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ย่อม ทำให้หนทางในการสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติเริ่มเกิดอุปสรรค
นั่นย่อมหมายความว่าการตระเตรียมพื้นที่สำรองไว้ให้กับพันธมิตรในแนวร่วมอย่าง “บิ๊ก ต.เต่า” ซึ่งล้มเหลวและผิดหวังจากการรุกเข้าไปในพรรคพลังประชารัฐอาจไม่ราบรื่น
ปัญหาจากพรรคพลังประชารัฐ ปัญหาจากพรรครวมไทยสร้างชาติจึงเริ่มปรากฏผ่านพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญบางพรรค
เหมือนกับการออกมาประกาศและแสดงท่าทีไม่ผูกพันทางการเมือง จากปากหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้กระทั่งหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาจะเป็นเรื่องปกติ
เป็นเรื่องปกติในทางการเมืองที่ไม่มีใครอาจให้สัตยาบันได้ก่อนผลการเลือกตั้งจะปรากฏออกมา
แต่คำถามก็คือ ทำไม นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะต้องพูดเช่นนี้ ทำไม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จะต้องพูดเช่นนี้ ทำไม นายวราวุธ ศิลปะอาชา จะต้องพูดเช่นนี้
อาจเป็นเพราะเหลือเวลาไม่ถึงปีก็จะครบวาระและมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังเนื่องจากมองไม่เห็นเงาร่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วในทางการเมือง
สัญญาณนี้อาจเป็นท่าทีธรรมดาอย่างยิ่งของห้วงสุดท้ายในการร่วมกันเป็นรัฐบาล และเหลือเวลาอีกไม่นานนักที่แต่ละฝ่ายจะต้องขับเคี่ยวชิงชัยกันในสนามการเลือกตั้ง
แต่อย่าลืมญัตติอภิปรายทั่วไปจะมีในเดือนพฤษภาคม
ถามว่าพันธมิตร 260 เสียงที่เคยมีการแสดงหลักฐานอย่างเด่น ชัดหายวับไปกับตาได้อย่างไร
ใครเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ย่อมต้องเกิดความสงสัย