ไม่ว่าจะเป็นวลีว่าด้วย “นายกฯรักษาการ” ไม่ว่าจะเป็นวลีว่าด้วย “นายกฯสำรอง” ไม่ว่าจะเป็นวลีว่าด้วย “นายกฯคนนอก” ล้วนแวดล้อมอยู่โดยรอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และเป็นวลีซึ่งดังกึกก้องขึ้นขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี”
แม้รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม ซึ่งกำกับดูแลงานด้านกฎหมายของรัฐบาลจะออกมาให้คำอธิบายอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน
กระนั้น หากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วคำอธิบายอย่างเป็นทางการนั้นก็สัมพันธ์อยู่กับตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”และอยู่กับวิถี และอนาคตโดยตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ใบหน้าอันหมองคล้ำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การปิดปากเงียบไม่ยอมแสดงความเห็นใดๆ จึงสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับเส้นทางทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง
ที่สำคัญก็คือ การดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557 คือคำถามใหญ่ในทางการเมือง
ต้องยอมรับว่าความวิตกกังวล อันเป็นรากเหง้าแห่งปัญหาอย่างแท้จริงมิได้มาจากการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย
ตรงกันข้าม คำว่า “นายกฯสำรอง” ถูกจุดจนกลายเป็นประเด็นมาจาก “ภายใน” ของรัฐบาลโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
น่าสังเกตว่า จากนั้นคำว่า “นายกฯสำรอง” ได้รับการขยายอย่างเอาการเอางานจากพรรคพลังประชารัฐ ประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวของพรรคเศรษฐกิจไทย
ทุกการเคลื่อนไหวล้วนให้ความเห็นชอบในความเหมาะสมที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะสามารถเข้าดำรงตำแหน่งนี้
ตรงนี้ยิ่งทำให้ใบหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งคล้ำ
ถามว่าปัจจัยอะไรทำให้การเสนอคำว่า “นายกฯสำรอง” กลายเป็นประเด็นร้อนในทางการเมืองอย่างรวดเร็ว นั่นก็ขึ้นอยู่กับสภาพการดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นั่นก็คือ การดำรงอยู่ซึ่งจะครบ 8 ปีในเดือนสิงหาคม
ขณะเดียวกัน พรรคร่วมฝ่ายค้านก็เตรียมอย่างเต็มที่ในการนำเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
สถานการณ์ในแบบเดือนสิงหาคม 2564 จึงได้หวนมาอีกครั้ง
