…เสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีจากห้วงลึกในใจของปวงชนชาวไทย ณ ท้องสนามหลวงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เหมือน “คลื่นใหญ่ในมหาสมุทร” ก่อระลอกเคลื่อนขยายวง “ความหวนให้คะนึงหาพระองค์ท่าน” แผ่ไปทั่วทุกทิศ เกิดปรากฏการณ์เดียวกันทั่วแผ่นดิน ไม่เพียงประเทศไทย ยังเลยไปไกลนานาประเทศทั่วโลก ในโลกยุคที่ผู้คนส่งข่าวถึงกันได้อย่างทันท่วงทีทั้งภาพ เสียง และคลิปวิดีโอ ต่างรับรู้ว่า “ทั้งโลกร่วมอาลัยกับเรา”
…ในห้วงยามเช่นนี้ คล้ายกับว่าหัวใจชนชาวไทยทุกดวงเปิดรับ “สติปัญญายิ่งใหญ่” พระราชดำรัส พระราชดำริ พระราชกรณียกิจ พระจริยวัตรของพระองค์ท่านที่มีคุณค่ายิ่งที่จะค้นคว้า ศึกษา สิ่งที่พระองค์ทรงคิด ตรัส และทรงปฏิบัตินั้นมีมากมายมหาศาล ถูกบันทึกไว้ในที่ต่างๆ และในคนที่ได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน หากเป็นเวลาปกติ ถ้าคิด “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” จะต้องใช้เวลาและความอุตสาหะอย่างใหญ่หลวงในการค้นคว้า เรียนรู้
…หากในห้วงยามแห่งความเศร้าโศกเนื่องเพราะพระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นนั่นคือ “ทุกผู้ทุกคนต่างทบทวน รื้อฟื้นความทรงจำ ความประทับใจที่มีต่อพระองค์ขึ้นมาบอกเล่าให้กันและกันฟัง” สื่อมวลชนทุกแขนงสาขา ไม่ว่า “โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมถึงสื่อออนไลน์ อินเตอร์เน็ต” ได้นำเรื่องราวเหล่านั้นมานำเสนอ พร้อมทั้งค้นคว้าความรู้ ความคิด และประสบการณ์ต่างๆ มาเผยแพร่ กันพร้อมเพรียง หลากหลายแง่มุมตามแต่ใครจะสัมผัส
รับรู้มาได้
…จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีสุดที่หาไม่ได้อีกแล้ว สำหรับ “ผู้ที่ตั้งปณิธานจะตามรอยเบื้องพระยุคลบาทที่จะเรียนรู้ และจดจำความเป็นพระองค์ไว้เป็นแบบอย่างที่จะดำเนินตาม” ความรักที่มีต่อพระองค์ควรจะมุ่งไปในทางเก็บเกี่ยวความดีความงามที่พระองค์ทรงชี้ทางไว้ ด้วยการใช้โอกาสที่ดีนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิปัญญา และฝึกฝนจิตใจตัวเองให้เดินไปตามแนวที่ “พระองค์ท่าน” ทรงนำทางไว้
…หลังทางราชการดำเนินการเรียก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ “35,000 ล้านบาท” ในคำชี้ขาดของผู้มีอำนาจว่า “เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วไม่ยับยั้งปล่อยให้นโยบายรับจำนำข้าวทำให้รัฐขาดทุนมหาศาล” มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาในบางมุม นั้นคือ “การพูดถึงทุกข์ของชาวนา” กันถี่ขึ้น เรื่องราวของ “ราคาข้าวเปลือกจากชาวนา เทียบกับราคาข้าวสาร และราคาข้าวแกง” ถูกหยิบมานำเสนออย่างเป็นระบบ หากมองว่าเป็นแค่ “เกมการเมือง” ก็ไม่น่าสนใจอะไร แต่หากเห็นว่า “นี่คือความจริงของสังคมไทย” การหาทางเหลียวแลแก้ไข ย่อมเป็นเรื่องควรตระหนักนึก ไม่เฉพาะ ผู้มีหน้าที่ แต่เป็นเรื่องของทุกคนทุกฝ่าย
…ข้อเสนอของ สิงห์ชัย ทุ่งทอง ที่วิงวอนมาน่าสนใจไม่น้อย ว่า “พ่อค้าข้าว” ที่ร่ำรวยมหาศาลจาก “ส่วนต่างราคาข้าวเปลือกกับราคาข้าวสาร” จนสุขสบายกันถึง “ลูกหลาน เหลน โหลน” หากตระหนักได้ว่าเป็น “วาสนา” ที่งอกขึ้นมาบน “หลังที่ท่วมด้วยทุกข์ของชาวนา” ขอให้ช่วยเหลือสักครั้งในยามที่ “ไร้ความหวังอื่น” ด้วยการ “สละทรัพย์บางส่วนมาจ่ายค่าข้าวช่วยเหลือล่วงหน้า” งานนี้ “อดีต ส.ว.อุทัย” ขอแค่ “50 เปอร์เซ็นต์ ของราคาขายจริง” ประเมินกันมาว่าจะ “ซื้อราคาเท่าไร” แล้วจ่ายก่อนไปครึ่ง เพื่อ “เยียวยาความทุกข์เฉพาะหน้า”
…เพราะ สิงห์ชัย ทุ่งทอง เป็น “ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง” และ “อุทัยธานี” เป็นพื้นที่ “ปลูกข้าว” จึงเป็นผู้สัมผัสจริง ด้วยรับรู้ถึง “ทุกข์ของชีวิตชาวนาไทย” ยามนี้ จึงเค้นความคิดหาทางช่วยเหลือ ถึงขนาดวิงวอนให้ “พ่อค้าข้าวเลิกคิดเอากำไรสักหนึ่งปี” ความคิดเช่นนี้หากเกิดขึ้นได้กับคนในอาชีพ “กำไรสูงสุดเป็นความสำเร็จของชีวิต” จะเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายินดียิ่ง
ชโลทร