‘สาทิตย์’ ไม่เสียใจ ชี้ 8 ปีคือการต่อสู้ที่ถูกต้อง ลั่นอะไรไม่ดีอย่าโยนบาปมาที่รัฐประหาร

สาทิตย์ไม่เสียใจ ไม่ขอโทษที่เป็นแกนนำ กปปส. ชนวนให้เกิดรัฐประหารเมื่อ 8 ปีที่แล้ว และไม่คาดคิดว่าจะเกิดรัฐประหาร แต่ควรจะเป็นการลาออกของรัฐบาลสมัยนั้น

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ซึ่งนับว่าเป็นวันครบรอบ 8 ปีรัฐประหาร นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำ กปปส.ขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคัดค้านการนิรโทษสุดซอยให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดใจว่า

ครบรอบเกิดรัฐประหาร 8 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์นั้นมีความซับซ้อนและถูกบิดเบือนกันหลายเรื่อง เช่น ที่ผมติดตามผู้ที่ออกมาพูดถึง 8 ปีรัฐประหาร อย่างที่คุณยิ่งลักษณ์ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก หรือกลุ่มเสื้อแดงเก่าแก่บางส่วน หรือกลุ่มที่พยายามจะบิดเบือนให้ร้ายหัวหน้าประชาชน กปปส.ที่ออกมาต่อสู้กับกฎหมายนิรโทษกรรมในช่วงนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ

คุณยิ่งลักษณ์บอกว่าเป็นการขับไล่รัฐบาลผ่านการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ซึ่งตนถือว่าเป็นคำพูดที่บิดเบือน เหตุผลของการลุกขึ้นมาต่อสู้กับหัวหน้าประชาชนกับการรัฐประหารเป็นคนละเรื่องกัน การลุกขึ้นมาสู้ของมวลมหาประชาชนคือสู้กับกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิดคนโกง ซึ่งตนมองว่าคนที่มีจิตวิญญาณของการต่อสู้เพื่อการเรียกร้องให้ความเป็นธรรมกับประเทศไทย และไม่ต้องการเห็นการล้างผิดให้คนโกงออกมาต่อสู้ด้วยสติ จะยืนยันได้ว่าการต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ที่ถูกต้อง

แต่ขบวนการการต่อสู้ 204 วัน มันมีกลุ่มคนชั่ว กลุ่มคนเสื้อดำและโยงไปกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนออกมาใช้อาวุธเข่นฆ่าประชาชนผู้ชุมนุม โดยใช้ M79 ใช้ระเบิด ใช้ปืน จนเป็นเหตุให้เด็กต้องเสียชีวิตที่ราชดำเนิน มีคนเสียชีวิต มีคนบาดเจ็บกว่าหนึ่งพันคน นี่เป็นข้อเท็จจริงที่บิดเบือนไม่ได้ การต่อสู้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในแง่ว่ากฎหมายนิรโทษกรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่การต่อสู้นั้นบานปลายไปสู่เรื่องการขับไล่รัฐบาล ซึ่งเป็นคนของระบอบทักษิณ และรัฐบาลชุดนั้นไม่ยอมที่จะเอากฎหมายนิรโทษกรรมออกไปจากระบบรัฐสภา

Advertisement

แต่การรัฐประหารถูกบิดเบือนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไปกวักมือเรียก ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ คนที่กวักมือเรียกทหารเข้ามาปฏิวัติคือกลุ่มติดอาวุธ ที่ไปยิง ไปเข่นฆ่าประชาชนซึ่งมาต่อสู้ด้วยมือเปล่า ที่เป็นคนสร้างเงื่อนไขให้ทหารเข้ามาปฏิวัติได้

ลองหลับตานึกดูว่าถ้ามีการต่อสู้ตามปกติ มีคนมาชุมนุมเต็มท้องถนน กลุ่มมวลมหาประชาชนยึดสันติอหิงสาไม่สร้างความรุนแรงอยู่แล้ว เมื่อไม่มีเหตุร้ายทหารก็ไม่มีเหตุที่ต้องมาปฏิวัติ เหตุปฏิวัติเกิดขึ้นเพราะกลุ่มคนชั่ว ใครจะอยู่เบื้องหลังนั้นตนไม่ทราบ เป็นคนเอาอาวุธมาเข่นฆ่าประชาชน คนเจ็บ คนตาย ทหารเห็นว่านี่เป็นสถานการณ์ความมั่นคงจึงออกมารัฐประหาร ซึ่งถ้าเข้าใจประเด็นเหล่านี้แล้วมันก็สามารถแยกได้ระหว่างเจตนารมณ์ของการต่อสู้ ซึ่งตนมองว่าเจตนารมณ์นี้เป็นเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง ตนเป็นคนหนึ่ง ตนยืนยันว่าถ้าให้ออกมาต่อสู้ต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมตนก็ทำ ตนก็สู้

Advertisement

ส่วนคนที่ออกมาเที่ยวขอโทษว่าเคยชุมนุม ตนมองว่าดัดจริต เป็นคนดัดจริต เพราะตอนที่คุณออกไปต่อสู้คุณต้องไปด้วยสติสามัญสำนึกว่าคุณทำเพื่ออะไร และถ้าคุณออกมาด้วยสติ คุณไปด้วยสามัญสำนึกของการต่อสู้ คุณจะรู้ว่าคุณทำเพื่อบ้านเมือง เพราะเป็นการต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิดคนโกง เหตุการณ์มาพูดทีหลังเป็นการขายตัว ขายจิตวิญญาณ แล้วโยนบาป โยนความผิดให้ กปปส.

ส่วนเหตุการณ์รัฐประหารที่เกิดขึ้นพวกคนติดอาวุธใช้อาวุธฆ่าคน สร้างเงื่อนไขแล้วแถมปฏิวัติ ปัญหารัฐประหารก็คือว่า ประกาศว่าต้องมีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง โดยผ่านรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ปัญหาคือตัวรัฐธรรมนูญไม่ออก มีตัวบทกฎหมายแนวคิดเจตนารมณ์หลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น กฎเกณฑ์กติกาของนักการเมืองมีความเข้มงวดมากขึ้น เรื่องของการทุจริตปราบโกง

แต่ถามว่า 8 ปีที่ผ่านมามันดีขึ้นหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการมองแบบมีมิติ ถ้ามองแบบมิติการเมืองตนมองว่าหลายคนที่ติดชะงักเรื่องการเมืองโดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้หลายคนลงเลือกตั้งไม่ได้ ก็เป็นการกันคนส่วนหนึ่ง เคยทุจริต เคยโดนตัดสิทธิทางการเมือง ฯลฯ ออกไปจากนอกระบบ แต่การทุจริตการโกงมันมีความซับซ้อน มีการพัฒนามากขึ้น ก็สามารถจัดการได้ระดับหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ถามว่ามันดีขึ้นหรือไม่ มันดีขึ้นบางจุด แต่บางจุดบริบทปัญหามันเปลี่ยนแปลงไปก็ต้องแก้ไข หลายคนก็โยน เช่น พรรคเพื่อไทยบอกว่าคนจนลง เศรษฐกิจมีปัญหา ก็อย่าลืมว่าหลังรัฐประหารไม่ใช่รัฐประหารล้วนๆ มีโควิดเข้ามาด้วย เมื่อมีการเลือกตั้งพรรคที่ได้ก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคทำงานร่วมกัน ก็ยอมรับว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจริง ปัญหาคนจน ปัญหาความเหลื่อมล้ำก็มีอยู่จริง ซึ่งหลายเรื่องก็ไม่ตรงจุด แต่จะไปโทษรัฐประหารทั้งหมดเสมือนว่ารัฐประหารเป็นคนทำ มาถึงจุดนี้ตนว่าต้องคิดกลับไปด้วยว่าเงื่อนไขออกกฎนิรโทษกรรมคือใคร

คุณยิ่งลักษณ์ก็มีส่วน คุณทักษิณก็มีส่วน คนเสื้อแดงก็มีส่วน พรรคเพื่อไทยก็มีส่วน อย่าโยนความผิดให้รัฐประหารอย่างเดียว เพราะตัวเองก็มีส่วนที่ทำให้เกิดขึ้นด้วย ในฐานะคนไทยตนคิดว่าเราต้องมองเหตุการณ์ตามความเป็นจริง ปัญหาที่มันทับโถมมาทีหลังอย่างโควิด ใครมาเป็นรัฐบาลมันก็เหนื่อย ซึ่งก็เหนื่อยกันทุกประเทศทั่วโลก แต่สิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้กับประชาชนหลายๆ อย่างอาจจะทำได้ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น การเมืองมาถึงจุดสุดท้าย มันใกล้จะหมดวาระที่ต้องทำการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องตัดสินใจ

ทั้งนี้ มองว่าคนที่โทษว่าประเทศไทยเสียหายขนาดนี้ก็รัฐประหารอย่างเดียว ชี้หน้าโทษแต่คนอื่นแต่ไม่เคยมองตัวเองเป็นพรรคเพื่อไทย คุณไม่เคยมองว่าคุณคือเงื่อนไขของการเกิดปัญหาสถานการณ์ความรุนแรง และกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนเสื้อดำที่ติดอาวุธปฏิเสธไม่ได้ เพราะในรายงานของคณะกรรมการอิสระเพื่อค้นหาความจริงชุดอาจารย์คณิต ณ นคร ก็ระบุคนกลุ่มเสื้อดำมีอาวุธชัดเจน มีภาพปรากฏชัด นั่นก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งตนเห็นคนเสื้อแดงประชุมรำลึกที่ราชประสงค์ ก็โยนความผิดให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็เข้ามาเป็นนายกฯในกระบวนการรัฐสภา แต่คนเสื้อแดงก็เลือกที่จะเอามาชุมนุม มีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองจริง จะไปอ้างอย่างอื่นก็ไม่ได้เพราะไฟติดเสียหายจริง

จากเหตุการณ์ที่ กปปส.ชุมนุมในวันนั้น ตนไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ส่วนตัวตนคิดว่าหากมีคนออกมาหลายๆ คน รัฐบาลคงจะยอมลาออกไป ตนเชื่อแบบนั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image