ส.ส.2ฝ่ายชี้รัฐประหารไม่ใช่ทางออกปท.
8ปีล้าหลัง-จี้ระบุในรธน.ไม่มีอายุความ
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะหนึ่งบุคคลสำคัญที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะถูกรัฐประหาร ให้สัมภาษณ์ถึง ครบรอบ 8 ปี รัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเลย ดังนั้นตนถือว่าเป็นความเสียเปล่า ที่ผ่านมาตนพยายามเสนอตลอดมาว่ารัฐประหารไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก
จึงเสนอเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การทำรัฐประหารคือกบฎ ต้องไม่มีการหมดอายุความ ไม่ควรเกิดขึ้นอีก ให้เป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย วันไหนรัฐธรรมนูญถูกฉีกศาลก็ยังจะยกขึ้นมาใช้บังคับลงโทษผู้เป็นกบฎได้ แต่ข้อเสนอตนเสนอไว้ในรัฐธรรมนูญ เขาก็ทำให้ตกไป แต่ในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะต้องถูกเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพราะถ้าสิ่งเหล่านี้ยังวนเวียนอยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยไม่มีวันเดินก้าวไปข้างหน้าได้ ทั้งนี้ ถ้าถามว่า รัฐประหารแล้วได้อะไร ไม่ต้องถามตน ถามประชาชนดีกว่าว่าพอใจหรือไม่กับการปกครองที่ได้มาจากการรัฐประหาร ถ้าประชาชนพอใจ ตนก็ไม่ว่าอะไร เพราะตนฟังเสียงประชาชนอยู่แล้ว
“อนาคตต้องกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แล้วให้ศาลยอมรับว่าไม่ใช่รัฐประหารแล้วเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทำอะไรก็ได้ เพราะกบฎ ควรเป็นกบฎถาวร ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยกขึ้นมาดำเนินคดีได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ตนเชื่อว่าคนจะทำรัฐประหารจะต้องคิดมากๆ เพราะวันหนึ่งคุณจะถูกกระบวนการยุติธรรมลงโทษได้” นายชัยเกษม กล่าว
ด้านนายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง โฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีครบรอบ 8 ปีรัฐประหาร ว่า เป็นบทเรียนให้สังคมไทยว่า การแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการรัฐประหารไม่ใช่คำตอบ แม้อาจจะแก้ไขปัญหาได้ แต่ก็แค่ชั่วคราว เฉพาะหน้า แต่หลังจากความสงบแบบชั่วคราวที่เกิดขึ้นโดยการรัฐประหาร เราจะเห็นว่ามันเกิดปัญหามากมายขึ้นในสังคม มีการทำรัฐประหารมีข้ออ้างว่าการเมืองขัดแย้ง สุดท้ายการเมืองก็ไม่ได้รับการแก้ไขเหมือนที่เป็นเหตุผลของการทำรัฐประหาร ตอนนี้สังคมได้เรียนรู้มากขึ้นพอสมควร หวังว่าสังคมจะเรียนรู้มากขึ้นจากการเกิดรัฐประหารล่าสุดว่า ผลของการรัฐประหารนั้นทำให้บ้านเมืองบอบซ้ำและถอยหลังไปหลาย 10 ปีอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า มองว่าในอนาคตจะมีการเกิดรัฐประหารอีกหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า หลังจากรัฐประหารปี 2534 เราก็คิดว่าเป็นรัฐประหารครั้งสุดท้าย และยิ่งเห็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 ออกมาแล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่มีใครคิดว่าจะมีรัฐธรรมนูญ และก็เกิดรัฐประหารขึ้นมาอีกในปี 2549 และ 2557 มีข้ออ้างให้คนอยากทำรัฐประหารได้ใช้เป็นข้ออ้าง ฉะนั้นทุกส่วนต้องช่วยกันลดเงื่อนไขจะนำพาไปสู่ข้ออ้างที่ฝ่ายรัฐประหารเขาจะสามารถนำมาใช้ได้
“ที่สำคัญการยอมรับจากสังคมต้องไม่เฉยๆ เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเมื่อเกิดรัฐประหารต่างคนก็ต่างยอม ถือว่าเป็นเรื่องปกติ จริงๆ แล้วผิดกฎหมายและไม่ถูกต้องตามหลักสากล สังคมต้องแสดงออกให้ชัดเจนว่าปัญหาทางการเมืองต้องใช้การเมืองแก้ไข และการรัฐประหารไม่ใช่ทางออก” นายภราดร กล่าว
