เมื่อวันที่ 23 พ.ค. พล.ท.พงศกร รอดชมภู แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก วิเคราะห์แนวคิดการเรียกร้องให้มีการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร ว่าขณะนี้บริบทการเมืองในกรุงเทพฯเปลี่ยนไปเยอะ มีคนกรุงฯหลายล้านคนที่ไม่สามารถยอมรับการยึดอำนาจได้อีก
พอฝ่ายประชาธิปไตยทำท่าจะมายาว ก็เริ่มมีผู้ฝักใฝ่เผด็จการออกมาเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจ ในฐานะที่เคยเป็นทหาร และเคยอยู่ประเภทวงในสุดของทุกเรื่องราวมาก่อน ตอนนี้สิ่งแวดล้อมทางการเมืองเปลี่ยนไปแล้วทหารจึงไม่อาจยึดอำนาจได้อีกนานด้วยเหตุผลดังนี้
1. จะยึดอำนาจต้องทำในกรุงเทพฯ ที่คนกรุงเทพฯเป็นล้านคนนับ ๆ แล้วอย่างน้อย 2 ล้านคนเฉพาะจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4 ล้านคนที่จะไม่ยอมรับการรัฐประหารอีกแล้ว เพราะการลองเงียบให้มีการยึดอำนาจรอบที่แล้วและพบการขอเวลาอีกไม่นานที่พิสูจน์การไร้ประสิทธิภาพในการบริหาร จนตัวแทนฝ่าย คสช. พ่ายแพ้หมดรูป ดังนั้นหากมีการยึดอำนาจหรือเอาคนต่างจังหวัดมาชุมนุมเรียกร้องการยึดอำนาจแบบเดิมอีก คนกรุงเทพฯจะไม่ทน
2. ยึดอำนาจโดยใช้ทหาร ฐานอำนาจของฝ่ายต้องการยึดอำนาจเพราะพ่ายแพ้ทางการเมืองล้วนอยู่ต่างจังหวัดและไม่มีส่วนได้อะไรจากการยึดอำนาจที่ผ่านมามากนักนอกจากตัวนาย ๆ ปกติทหารทุกแห่งในโลกและทุกยุคสมัยจะอยู่ข้างผู้ชนะหรือเห็นโอกาสชนะ ซึ่งโอกาสนั้นถูกปิดไปโดยสิ้นเชิงจากการสืบทอดอำนาจของ คสช.เอง เพราะการเผชิญหน้ากับประชาชนและชุมชนระหว่างประเทศรอบนี้เสี่ยงแบบหมดหน้าตัก และหากสร้างสถานการณ์โดยคนกลุ่มน้อยเกิดขึ้น สำนักข่าวต่าง ๆ ก็จะถล่มผู้เสียอำนาจปัจจุบันเองจนไม่มีที่ยืนและนั่นหมายถึงความพ่ายแพ้ของกองทัพด้วย โอกาสที่จะเสี่ยงเป็นกบฎแบบนี้สูงเกินไป
3. ยึดอำนาจโดยเนติบริกร พลเรือนจะดูตาม้า ตาเรือเก่ง ถ้าไม่มีทหารหนุนหลัง จะไม่เสี่ยง เวลานี้ทหารหน่วยสำคัญกลับเข้ากรม กอง ฝึกหนักเพื่อให้เป็นทหารอาชีพมากขึ้น พลเรือนย่อมกลับไปทำหน้าที่ปกติกันเสียมากกว่า
สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้เชียร์การสืบทอดอำนาจ คสช. คือรอบหน้าหมดโอกาสเป็นรัฐบาลเองได้อีกแล้ว นอกจากจะยอมปรับโครงสร้างภายใน เปลี่ยนการนำอย่างถาวร เลิกชิงอำนาจกันเองที่ฝ่ายนำ ยอมรับความจริง ไม่ดื้อตาใสและตกลงการดูแลให้ปลอดภัยตอนลงจากหลังเสือดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
