ลำพัง 1,386,215 ที่เบอร์ 8 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้รับจากคนกรุงเทพฯในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม ก็แสดงอย่างแจ้งชัดอยู่แล้วว่าเป็นองค์ประกอบและเงาสะท้อนแห่งอะไร
ยิ่งมองไปยังคะแนน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เบอร์ 6 ยิ่งมองไปยังคะแนน นายสกลธี ภัททิยกุล เบอร์ 3 ยิ่งแจ่มชัด
หากผนวกสัดส่วนคะแนนของ เบอร์ 8 เบอร์ 1 เบอร์ 11 ที่อยู่ในราวร้อยละ 65 ที่เหลือร้อยละ 35 อันเป็นของ เบอร์ 3 เบอร์ 4 เบอร์ 6 และเบอร์ 7 ก็ยิ่งแจ่มชัดอย่างชนิดแจ้งจางปาง
หากมองว่าตัวเลขที่ปรากฏเป็นเพียงจังหวัดจังหวัดหนึ่งเหมือนกับแม่ฮ่องสอน เหมือนกับศรีสะเกษ เหมือนกับกาญจนบุรี หรือเหมือนกับนครศรีธรรมราช
แต่ในความเป็นจริงงบประมาณ 2,510,898 ล้านบาท ของปีงบประมาณ 2566 ที่จัดให้แต่ละจังหวัด จำนวน 2 ใน 3 ก็เป็นของกรุงเทพมหานคร คือ 1,704,116 ล้านบาท
ไม่ว่าจะมองจากสถานะแห่งความเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมองจากสถานะแห่งความเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็ย่อมสัมผัสได้และตระหนักในความสำคัญ
ความสำคัญจากผลสะเทือนจากคะแนนของชาวกรุงเทพมหานครที่เทให้กับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์
หากถือเอาการเลือกตั้งคือ รูปธรรมหนึ่งในการแสดง “ประชามติ” ความเป็นจริงแล้ว ประชาชนไทยและโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯก็ได้แสดงมาแล้วจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562
นั่นก็คือ พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 1 นั่นก็คือพรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 3
เมื่อศึกษารายละเอียดการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 กับการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2565 มาศึกษาก็จะมองเห็นถึงภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
เมื่อเดือนมีนาคม 2562 สัดส่วนเมื่อรวมพรรคเพื่อไทยกับพรรคอนาคตใหม่ในขอบเขตทั่วประเทศเท่ากับกว่าร้อยละ 56 ขณะที่การเลือกตั้ง ส.ก.ของ กทม.เท่ากับร้อยละ 74
ใครที่คิดเลขเป็นย่อมมองเห็นแนวโน้มการเมืองได้เลย
ถามว่าผลสะเทือน จากคะแนนและความนิยมที่คนกรุงเทพฯมอบให้กับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หนักแน่นและจริงจังมากเพียงใด
ตอบได้เลยว่านี่คือ “ประชามติ” นี่คือ “คำสั่ง”
เหมือนกับเป็นความไว้วางใจอันกลายเป็นคำสั่งเฉพาะตัวต่อ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในฐานะผู้ว่าฯกทม.
แต่แท้จริงแล้วคือการสื่อต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง