ชัชชาติ สำรวจแยกลำสาลี สางปมรถติด ห่วงสกายวอล์กแยกบางกะปิกระทบร้านค้า ชาวบ้านยื่น จ.ม.ร้องเรียนถึงมือ(คลิป)

ชัชชาติ สำรวจแยกลำสาลี สางปมรถติด ห่วงสกายวอล์กแยกบางกะปิกระทบร้านค้า ชาวบ้านยื่น จ.ม.ร้องเรียนถึงมือ

เมื่อเวลา 14.10 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่สำรวจแยกลำสาลี เขตบางกะปิ ร่วมกับ น.ส.มธุรส เบนท์ ว่าที่สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตสะพานสูง พรรคเพื่อไทย และ นางชญาดา วิภัติภูมิประเทศ ว่าที่ ส.ก. เขตคันนายาว พรรคเพื่อไทย โดยปัญหาหลักในพื้นที่แยกลำสาลีคือมีสภาพการจราจรติดขัดจากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่

นายชัชชาติ กล่าวว่า เนื่องจากมีการจราจรติดขัดจากการก่อสร้างขนาดใหญ่พร้อมกัน ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้มสายสีเหลือง และการก่อสร้างสะพานข้ามแยกบางกะปิ โดยแบ่งเป็น 2 สัญญา สัญญาช่วงต้นตั้งแต่ถนนลาดพร้าวถึงกึ่งกลางแยก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นผู้ก่อสร้าง สัญญาช่วงท้าย กึ่งกลางแยกถึงถนนเสรีไทย กทม. เป็นผู้ก่อสร้าง โดยมีความคืบหน้าเพียง 5% จากแผนที่กำหนดไว้มีความคืบหน้า 65% ซึ่งสัญญาจะหมดในเดือน มกราคม 2566

“ต้องมีการเร่งรัดการก่อสร้างที่ล่าช้า เพื่อคืนพื้นผิวการจราจร แต่ก็มีข้อสังเกตว่าทำไม กทม. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายจำนวน 550 ล้านบาท ในการก่อสร้างสะพานข้ามแยกใหม่ เพราะทาง รฟม. เป็นผู้ทุบสะพานข้ามแยกเดิม เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองในพื้นที่ตรงนั้น” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติ กล่าวว่า ต่อมามีการออกแบบทางเดินลอยฟ้า (สกายวอล์ค) เชื่อมต่อรถไฟฟ้าทั้งสองสายเข้าด้วยกัน โดยเริ่มตั้งแต่หน้าสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) แต่ไม่มีการเชื่อมต่อเข้ากับสถานีรถไฟฟ้าทำให้ประชาชนต้องเดินขึ้นลงๆ พร้อมกับไม่มีลิฟท์ไว้สำหรับผู้พิการ เพราะมีงบประมาณไม่เพียงพอ  ซึ่งต้องมีการปรับแบบให้เป็น Universal Design เพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกมากที่สุด

ตอนนี้รถไฟฟ้าสายสีเหลืองมีการทำฐานรากเรียบร้อยแล้วจะต้องมีการเร่งคืนพื้นที่การจราจร ต้องไม่ให้บริษัทก่อสร้างวางสิ่งของไว้ในพื้นที่ผิวจราจร พร้อมกับการมี พรก.ฉุกเฉิน ทำให้มีการขอเลื่อนส่งมอบงานล่าช้า หากพบว่าเป็นปัญหาจะแจ้งให้รัฐบาลทราบว่าเงื่อนไขดังกล่าว ก่อให้เกิดปัญหากับประชาชน ย้ำ กทม. ต้องเอาจริงเอาจังในการควบคุมการก่อสร้าง เพื่อไม่ให้สร้างปัญหาต่อประชาชน

ADVERTISMENT

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงจุดยืนการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว นายชัชชาติ กล่าวว่า เป็นแค่หลักการ เพราะยังไม่เห็นข้อมูล ต้องมาดูว่าการรับโอนหนี้จากรัฐส่วนกลางมา มีกระบวนการคบถ้วนแล้วหรือไม่ ต้องผ่านที่ประชุมสภากทม. เพราะเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ผู้ว่ากทม.ไม่มีอำนาจทำได้ ต่อมาสัญญาจ้างเดินรถเป็นการจ้างระยะยาว ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พรบ.ร่วมทุน) ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อีกทั้งการต่อสัญญาสัมปทานก็ไม่ได้ผ่าน พรบ.ร่วมทุนอีกเช่นกัน

“เราไม่ได้ค้านการต่อสัญญาสัมปทาน แต่คิดว่าต้องผ่านกระบวนการตามพรบ.ร่วมทุน เพราะว่าจะมีการพิจารณาที่ละเอียดถี่ถ้วน มีการแข่งขันกันของเอกชน อีกทั้งการถกเถียงเรื่องค่าโดยสาร 65 บาท เราไม่รู้ว่ามีตัวเลขมาจากไหน” นายชัชชาติ กล่าว

นายชัชชาติ กล่าวว่า โครงการที่ถึงตามวงเงิน ต้องเข้ากระบวนการพรบ.ร่วมทุน เป็นหลักการโดยรวมของประเทศ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีการยกเว้นสำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียว แล้วในอนาคตโครงการอื่นๆจะสามารถทำข้ามหลักการตรงนี้ได้หรือไม่ เพราะเชื่อมั่นว่ายิ่งมีการแข่งขัน มีการช่วยตรวจสอบจากหลายฝ่าย จะเกิดความโปร่งใส

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการลดราคารถไฟฟ้าสายสีเขียว นายชัชชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันราคารถไฟฟ้าตามสัญญาสัมปทานเดิมเก็บที่ 44 บาท ส่วนต่อขยายที่กทม.รับผิดชอบอีก 15 บาท ต้องไปดูว่ามีการปรับได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งภายในปี พ.ศ. 2572 ต้องไปดูว่ามีผลการดำเนินงานที่เป็นกำไรหรือขาดทุน ถ้ามีกำไรก็สามารถเก็บราคาที่น้อยลงกว่านี้ได้ ตามหลักการต้องลดราคาให้กับประชาชน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นตัวเลขผลการดำเนินงานการจ้างเดินรถในส่วนต่อขยาย

ต่อมาผู้สื่อข่าวถามกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าถ้าทำ 200 นโยบายได้จริงคงเป็นรัฐบาลไปแล้ว นายชัชชาติ กล่าวว่า ขอบคุณกำลังใจที่ท่านให้ เรารับฟังทุกคำวิจารณ์ ยิ่งทำให้เรามีแรงกระตุ้น มีแรงบันดาลใจเพื่อทำให้ดีที่สุด น้อมรับข้อติชม ทุกคนมีสิทธิที่จะพูดเพราะเป็นคนกทม.เหมือนกัน เป็นข้อดี

นายชัชชาติ กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่ากทม. จะมีการประสานงานกับกรมการขนส่งทางบก เรื่องปัญหามลพิษควันดำ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่องสายสื่อสารลงใต้ดิน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) เรื่องการต่อต้านคอร์รัปชัน รวมไปถึงการพูดคุยกับหน่วยงานอื่นๆอีกจำนวนมาก ต้องมีความร่วมมือกัน

นายชัชชาติ กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีข้าราชการสังกัด กทม. ให้ความสนใจนโยบาย 200+ ข้อ ขณะที่สำนักงานเขตบางแห่งเริ่มนำนโยบายไปพัฒนา รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่นโยบายได้รับความสนใจ และเห็นความตื่นตัวในการทำงาน ทั้งที่ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เป็นมิติใหม่ที่ไม่เคยเห็นข้าราชการเป็นแบบนี้

“ยินดีหากมีการเสนอข้อคิดเห็นในการทำงานต่างๆ เพราะเมืองมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นโยบายไม่ใช่ศิลาจารึกที่จะคงเดิมตลอด แต่นโยบายต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีชีวิตคน และพอมีโจทย์ที่เป็นความต้องการของประชาชน ก็ทำให้ข้าราชการมีทิศทางในการทำงาน ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจ และจะพยายามทำให้สำเร็จได้มากที่สุด” นายชัชชาติ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนขอถ่ายภาพร่วมกับนายชัชชาติเป็นจำนวนมาก โดยนายชัชชาติทำสัญลักษณ์กำปั้นชนมือกับผู้ที่มาถ่ายรูป อีกทั้งมีประชาชนบางส่วนได้มาร้องเรียน พร้อมกับยื่นจดหมายร้องเรียนโดยตรง

ต่อมาเวลา 15.30น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โดยสารเรือคลองแสนแสบ จากท่าเรือเดอะมอลล์บางกะปิ ไปท่าเรือประตูน้ำ ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจสำรวจแยกลำสาลี ร่วมกับ ว่าที่ ส.ก. พรรคเพื่อไทย เขตสะพานสูงและเขตคันนายาว ระหว่างนั้นได้สำรวจปัญหาการใช้งานเรือโดยสาร และรับฟังความต้องการจริงจากประชาชนต่อการพัฒนาเส้นทางเดินเรือในอนาคต