‘ชัชชาติ’ รอประเมินรายได้ ก่อนเคาะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว

เมื่อเวลา 14.10 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่ากทม.) ลงพื้นที่สำรวจแยกลำสาลี เขตบางกะปิ ร่วมกับ น.ส.มธุรส เบนท์ ว่าที่สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตสะพานสูง พรรคเพื่อไทย และนางชญาดา วิภัติภูมิประเทศ ว่าที่ ส.ก.เขตคันนายาว พรรคเพื่อไทย โดยปัญหาหลักในพื้นที่แยกลำสาลีคือมีสภาพการจราจรติดขัดจากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่

โดยในตอนหนึ่ง นายชัชชาติกล่าวถึงจุดยืนการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า เป็นแค่หลักการ เพราะยังไม่เห็นข้อมูล ต้องมาดูว่าการรับโอนหนี้จากรัฐส่วนกลางมา มีกระบวนการครบถ้วนแล้วหรือไม่ ต้องผ่านที่ประชุมสภา กทม. เพราะเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ผู้ว่าฯกทม.ไม่มีอำนาจทำได้ ต่อมาสัญญาจ้างเดินรถเป็นการจ้างระยะยาว ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 (พรบ.ร่วมทุน) ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อีกทั้งการต่อสัญญาสัมปทานก็ไม่ได้ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุนอีกเช่นกัน

“เราไม่ได้ค้านการต่อสัญญาสัมปทาน แต่คิดว่าต้องผ่านกระบวนการตามพ.ร.บ.ร่วมทุน เพราะว่าจะมีการพิจารณาที่ละเอียดถี่ถ้วน มีการแข่งขันกันของเอกชน อีกทั้งการถกเถียงเรื่องค่าโดยสาร 65 บาท เราไม่รู้ว่ามีตัวเลขมาจากไหน” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติกล่าวว่า โครงการที่ถึงตามวงเงิน ต้องเข้ากระบวนการ พ.ร.บ.ร่วมทุน เป็นหลักการโดยรวมของประเทศ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีการยกเว้นสำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียว แล้วในอนาคตโครงการอื่นๆ จะสามารถทำข้ามหลักการตรงนี้ได้หรือไม่ เพราะเชื่อมั่นว่ายิ่งมีการแข่งขัน มีการช่วยตรวจสอบจากหลายฝ่าย จะเกิดความโปร่งใส

Advertisement

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการลดราคารถไฟฟ้าสายสีเขียว นายชัชชาติกล่าวว่า ปัจจุบันราคารถไฟฟ้าตามสัญญาสัมปทานเดิมเก็บสูงสุดที่ 44 บาท ส่วนต่อขยายที่ กทม.รับผิดชอบเก็บสูงสุด 15 บาท รวม 59 บาท ต้องไปดูว่าส่วนที่ กทม.มีการปรับได้มากน้อยเพียงใด โดยในช่วงถึงปี พ.ศ.2572 ต้องไปดูว่ามีผลการดำเนินงานที่เป็นกำไรหรือขาดทุน ถ้ามีกำไรก็สามารถเก็บราคาที่น้อยลงกว่านี้ได้ ตามหลักการต้องลดราคาให้กับประชาชนให้มากที่สุด แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นตัวเลขผลการดำเนินงานการจ้างเดินรถในส่วนต่อขยาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image