ท่าทีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อ “พรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทย” ถือว่าแจ่มชัด
แจ่มชัดในระดับ “เฉียบขาด”
“ผมไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้จัก 2 คนนี้เอาชื่อรองแม่ทัพภาคที่ 2 ไปอ้าง”
ถือได้ว่า “ตัด” หมดสิ้นทุก “ข้อต่อ”
ไม่มีเยื่อใย ไม่มีไมตรี แม้จะมีบุคคลระดับ “รองแม่ทัพ” ไปปรากฏในฐานะ “ประธาน”
ที่อ้างว่าเป็น “ตัวแทน” จึง “ไม่ใช่”
อาจเป็น “รองแม่ทัพ” จริง อาจเป็น “รองผอ.รมน.ภาค 2” จริง แต่ก็มิได้เป็น “ตัวแทน”
ไม่ว่าตัวแทน “รองนายกรัฐมนตรี”
ไม่ว่าตัวแทน “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง
ทำไม
ต้องยอมรับว่าท่าทีต่อ “พรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทย” แตกต่างไปจากท่าทีต่อ “พรรคประชาชนปฏิรูป”
นั่นก็เนื่องแต่ “สถานะ”
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าคนของพรรคประชาชนปฏิรูปมีพื้นฐานมาจาก “กปปส.”
ทั้งยังเคยเป็น “สปช.”
การเคลื่อนไหวในทางการเมืองก็ดำรงสถานะแห่ง “กปปส.” อย่างแน่วแน่
แน่วแน่เหมือน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ตรงกันข้าม รายชื่อบุคคล 2 คนแห่งพรรคอธิปไตยปวงชน ชาวไทยก็ก่อให้เกิดอาการแหม่งๆ ในทางการเมือง
เพราะโยงสายยาวไปยัง “สภาปฏิวัติ”
เป็น “สภาปฏิวัติ” อันแนบแน่นอย่างยิ่งอยู่กับ “ทหารประชา ธิปไตย” และ “จารย์เสริฐ”
ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ที่ “แถลง”
ขอให้ “ศึกษา” คำแถลงอันมาจาก นายสมาน ศรีงาม เลขาธิการพรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทย
อย่าง “สังเคราะห์”
“รัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติแล้ว แต่การถ่ายอำนาจให้ประชาชนยังไม่มี
“จึงจำเป็นต้องมีการถ่ายอำนาจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงมาให้ประชาชนผ่านสภาประชาชน จึงทำให้เกิดพรรคการเมืองของประชาชนขึ้น
“คือพรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทยนี้เพื่อเข้ามารับการถ่ายอำนาจเข้าไปปกครองประเทศต่อจากคสช.”
นี่คือ การดำรงความมุ่งหมายอย่างแน่วแน่และมั่นคง
“สภาประชาชน”จึงถอดรูปมาจาก”สภาปฏิวัติ”อย่างเด่นชัดยิ่งต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ