09.00 INDEX สภาวะ การบิดเบือน อำนาจ ภายใต้ สถานการณ์ “ฉุกเฉิน”
ปัญหาการประกาศสภาวะ “ฉุกเฉิน”กำลังจะกลายเป็น “ดาบสองคม” ย้อนกลับมาเป็นคำถามต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รุนแรงและแหลมคมมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
เหมือนกับที่กำลังเป็น”ดาบสองคม” ในการประกาศอย่างยืด เยื้อต่อพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
กล่าวสำหรับการประกาศสภาวะ “ฉุกเฉิน” ในขอบเขตทั่วประ เทศเมื่อเดือนมีนาคม 2563 เป้าหมายหลักก็เพื่อจะต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดอันแพร่มาจากจีน
เวลาจากเดือนมีนาคม 2563 มายังเดือนมีนาคม 2565 ประชาชนรับรู้เป็นอย่างดี ด้านหนึ่ง ตระหนักในความจำเป็นที่จะ ต้องมี ด้านหนึ่ง ก็รับรู้ในอันตรายและผลสะเทือน
ผลสะเทือนอย่างเด่นชัดก็คือ การถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพและทำให้การประกอบอาชีพที่สุจริตต้องถูกจำกัดและบั่น ทอนไปด้วยเกิดความเดือดร้อนในลักษณะทุกหย่อมย่าน
ขณะเดียวกัน อันตรายก็คือเป้าหมายการใช้ประกาศสภาวะ
“ฉุกเฉิน” ในทางการเมือง เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อสะท้อนความเดือดร้อนที่ประสบ
ไม่ว่าจะเป็นความเดือดร้อนในลักษณะอันเป็น “ความคับแค้นทางจิตใจ”และ “ความยากไร้ในทางวัตถุ”
พลันที่สถานการณ์โควิดเริ่มผ่อนคลาย ก่อให้เกิดการผ่อนคลายในหลายมาตรการ ไม่ว่าจะในเรื่องหน้ากาก ไม่ว่าจะในเรื่องการ ประกอบอาชีพบางอาชีพ
การดำรงคงอยู่ของพรบ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจึงกลายเป็นคำถามว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่
กลายเป็นว่าการคงพรบ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับ “โรคระบาด” หรือเพื่อระงับยับยั้ง มิให้มีการแสดงออกในทางการเมืองผ่านการเคลื่อนไหวชุมนุม
ประการหลังนี้นอกเหนือจากเสียงร้องของประชาชนแล้วคำถามก็คือ พรรคการเมืองและนักการเมืองควรแสดงบทบาทอย่างไรในการคงอยู่ของพ.ร.บ.นี้
ไม่ว่าพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลมองกันอย่างไร
การเมืองหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ดำรงอยู่อย่าง บิดเบี้ยวอย่างยิ่งอยู่แล้วเพราะมีอำนาจมาตรา 44 ในมือของหัวหน้าคสช.ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี
ปมเงื่อนอยู่ที่การเมืองหลังการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562
การเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็น บิดเบือนผลการเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้งเด่นชัดอย่างยิ่งอยู่แล้ว การคงอยู่ของพ.ร.บ.”ฉุกเฉิน”ก็ยิ่งเป็นการบิดเบือน “อำนาจ”
พรรคการเมือง และนักการเมืองจะประเมินอำนาจนี้อย่างไร