เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่บ้านโซเฮงไถ่กลางชุมชนตลาดน้อย แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ประชาชน ได้ร้องเรียนในกรณีที่บ้านทรงจีน โซเฮงไถ่ เกิดการถล่มล้มของกำแพงทำให้เกิดความเสียหายจากตัวอาคารและบ้านข้างเคียง เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไรต้องรอ กรมศิลปากรมาพิจารณา
นางดวงตะวัน โปษยะจินดา เจ้าของบ้านโซวเฮงไถ่ กล่าวว่า บ้านนี้เป็นบ้านปูนก่อด้วยอิฐสูง 2 ชั้น อายุ260 ปี มีอายุก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ คาดว่าเป็นบ้านจีนหลังแรกของกรุงเทพฯ จากการถล่มของบ้านเบื้องต้นคาดว่ามาจากสาเหตุการตอกเสาเข็มเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาในหลายปีก่อน ทำให้บ้านเกิดแตกร้าวอันอาจเป็นต้นเหตุของการทะลายลงมาในครั้งนี้ สำหรับการซ่อมแซม อยากจะให้มีการซ่อมแซมโดยเร็ว ซึ่งยังมีข้อกังวลจากลูกๆ ว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.โบราณสถานฯ หรือไม่ วันนี้จึงขอยื่นหนังสือต่อ ประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ผ่านดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประจำคณะอนุกรรมาธิการศิลปะและวัฒนธรรม ในกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อหาทางดำเนินการต่อไป
ดร.ณพลเดช กล่าวว่า บ้านดังกล่าวอายุเก่าแก่ตามพ.ร.บ.โบราณสถานฯ ระบุไว้ชัดเจนว่า โบราณสถาน คือ อสังหาริมทรัพย์ที่มีอายุเก่าแก่ สถาปัตยกรรมมีประโยชน์ทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ให้ถือเป็นโบราณสถานไว้ก่อนอาคารที่ควรอนุรักษ์และเป็นโบราณสถานชัดเจน เทียบเท่าโบราณสถานที่กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียน ต้องได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 (แก้ไขเพิ่มเติม 2535) ฉะนั้นการรื้อ การทำลาย ตกแต่งต่อเติมต้องขออนุญาตกรมศิลปากร หากใครฝ่าฝืนกรณีโบราณสถานที่ยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะมีโทษสูงสุดจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 7 แสนบาท ในเบื้องต้นได้โทรหารือกับ นายชินณวุฒิ วิลยาลัย ผู้อำนวยการกองโบราณคดี กรมศิลปากร ได้แนวคิดว่าหากจะให้เกิดความปลอดภัยกับเจ้าของบ้านเพื่อเป็นไปตามหลักกฎหมายก็ให้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร เบื้องต้นได้รับหนังสือร้องเรียนจาก นางดวงตะวัน จะนำเข้าสู่คณะกรรมาธิการฯ เพื่อเร่งดำเนินการซ่อมบำรุงต่อไป
