ชาวนาเฮ! ครม.เคาะช่วยเหลือข้าวนาปีตันละ 1.3 หมื่น

“บิ๊กตู่” เผย ครม.เคาะช่วยเหลือข้าวนาปีตันละ 1.3 หมื่น บวกค่ายุ้งฉาง สั่ง มท. พณ. คสช. ลงตรวจทุกโรงสี เช็คข้าวในคลัง วอนอย่าหลงเชื่อพวกบิดเบือนผ่านโซเชียล เมิน หนังสือ “ยิ่งลักษณ์” ขอเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง

เมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบชาติ(คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงมาตรการการช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำว่า ก่อนการประชุม ครม.ได้มีการประชุม นบข.นัดพิเศษอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลจากที่ได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และคสช. มาหารือกันก่อนเข้าประชุม ครม. จากนั้น ครม.มีมติกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ถือเป็นมาตรการใหญ่ ซึ่งจะประกอบไปด้วย โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 2559 ถึง 2560 รวมถึงข้าวหอมมะลิ

“โดยชาวนาจะได้รับเงินทั้งสิ้น 13,000 บาท ซึ่งตอนนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ประมาณ 9,700-12,000 บาท เมื่อคิดคำนวณแล้วราคาค่าเฉลี่ยควรจะเป็นตันละ 11,000 บาท โดยธกส.จะรับจำนำตามความเห็นชอบของครม.ในวันนี้ 9,500บาท แต่จะมีเพิ่มเติมช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพ ให้อีกตันละ 2,000บาท ค่าขึ้นยุ้งเก็บรักษาตันละ 1,500 บาท รวมเป็น 13,000บาท ทั้งนี้ธกส.จะรับเต็มที่ไม่ได้ จะทำให้ผิดกติกา ซึ่งตรงนี้สำหรับเกษตรกรที่ร่วมโครงการและมียุ้งฉาง หากไม่มียุ้งฉาง รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและค่าปรับปรุงคุณภาพโดยโอนเงินเข้าบัญชีตันละ 2,000 บาท แต่จะไม่ได้ค่าขึ้นยุ้งเก็บรักษาอันนี้ถือเป็นข้อยุติ หวังว่าพ่อแม่พี่น้องชาวนาคงจะพอใจระดับหนึ่ง และขอให้เห็นใจรัฐบาลบ้าง เพราะช่วงนี้มีความยากลำบากเกิดขึ้นหลายอย่าง ผลกระทบเกิดจากฝนและอะไรต่างๆ” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญ เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำงานในภาคการเกษตรต่อไปอย่างไร หากยังทำแบบเดิม ก็จะมีปัญหา แต่ตนก็เห็นใจพ่อแม่พี่น้อง ที่ทุกคนมีความคุ้นเคยตั้งแต่เด็กจนโต ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ตนเข้าใจตรงนี้ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเราต้องมาเรียนรู้ด้วยกันและมีศูนย์เกษตรทฤษฎีใหม่ ศูนย์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน ตอนนี้ต้องหาวิธีการปลูกข้าวที่จำนวนไร่น้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม และต้องดูตารางข้าวโลกในปัจจุบันด้วย อย่ามองแค่ในประเทศอย่างเดียว ในประเทศเราต้องแก้ไป ด้วยวิธีการช่วยเหลือและสร้างความเข้มแข็ง รวมถึงเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยรัฐบาลจะหาเครื่องมือไปให้ เป็นส่วนรวมไว้ที่สหกรณ์ต่างๆ ถ้าทุกคนรวมกลุ่มได้ ตนก็จะสนับสนุนให้ได้ เพื่อลดค่าแรงต้นทุนการผลิต และต่อไปตนกำลังให้หาโรงสีขนาดกลางในพื้นที่จุดที่เกษตรกรมีความเข้มแข็งและสามารถรวมกลุ่มกัน เพื่อไม่ต้องส่งไปโรงสีข้างนอก เพราะราคาเป็นที่พอใจ เราต้องสร้างให้ชาวบ้านมีความเข้มแข็งด้วยตัวเอง ทั้งปลูก ผลิต แปรรูป ขาย ส่วนโรงสีเดิม ก็ต้องปรับตัว ทำอย่างไรจะให้เกิดความสุจริต โดยประชาชนต้องได้รับผลประโยชน์มากที่สุด โดยเกษตรกรเองก็ต้องมีเครื่องมือตรวจสอบโดยกระบวนการท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชน เป็นการวัดความชื้นข้าวของตัวเองก่อนที่จะส่งไปโรงสี หากไม่ตรงกับที่โรงสีวัด จะได้ตรวจสอบได้ ถ้าเราไม่เตรียมการตัวเอง เราก็ต้องยอมรับผลการประเมินของโรงสี โดยที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบหลังเจ้าของโรงสีประเมินค่าความชื้น

Advertisement

“วันนี้ กระทรวงเกษตรฯ มหาดไทย พาณิชย์ และคสช. จะลงไปสำรวจทุกโรงสีว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มีอะไรที่แปลกประหลาดแทรกซ้อนหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็แล้วไป พร้อมกันนี้จะต้องไปดูคลังข้าว ที่บางโรงสีอาจเก็บข้าวไว้ตามนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา รับค่าข้างดูแลข้าวมาเยอะ การดูแลจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ต้องไปว่ากันตรงนั้นด้วย ฉะนั้นต้องทำทั้งระบบ เราจะไปว่าใครดีหรือไม่คงลำบาก เพราะคนดีก็มี เราต้องมองในส่วนประชาชนที่จะช่วยเหลือตัวเองอย่างไร ถ้าต้านทุกอย่างมันไปไม่ได้ ผมก็ห่วง ปีนี้ความต้องการภายนอกลดลงเพราะแต่ละประเทศมีสำรองข้าวไว้เยอะ อีกทั้งยังไปลงทุนปลูกข้าวในพื้นที่ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ ขณะที่บ้านเราต้นทุนการผลิตยังสูงใช้น้ำเยอะ การปลูกข้าว ฝนแล้ง ฝนมากจะต้องมีวิธีการปลูกที่แตกต่าง ต้องใช้เทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มเมอร์ โดยรัฐบาลให้ความช่วยเหลือ โอกาสเรามีเยอะ” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ถ้าเราช่วยกัน ที่ผ่านมามาตรการอุดหนุนเรื่อยๆ ไม่สามารถสร้างความเข้มแข็งได้ ดังนั้นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ ขึ้นอยู่กับสหกรณ์ แกนนำ หมู่บ้าน ต้องร่วมมือกัน อย่าไปเชื่อคำบิดเบือนทางโทรศัพท์ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลทำ คนไทยบังคับไม่ได้ทั้งหมด ต้องใช้วิธีการขอร้องกัน คนที่เข้ามาอยู่ในโครงการที่รัฐบาลแนะนำมีผลผลิตและรายได้ที่ดีขึ้น แต่คนที่ยังไม่เปลี่ยนรายได้ก็น้อยลง สิ่งที่ห่วงอีกเรื่องคือถ้ารัฐบาลบริหารจัดการน้ำได้ดี ก็จะเฮโลปลูกข้าวกันอีก และให้รัฐบาลปล่อยน้ำมาเลี้ยงข้าว ปัญหาก็จะวนทับแบบนี้ ฉะนั้นวันนี้ต้องแก้ทั้งระบบ ทั้งประชาชน โรงสี เอกชน พ่อค้าข้าว ต้องมีธรรมาภิบาล ขณะที่รัฐบาลจะมีนโยบายใหม่ๆ โดยเอาปัญหาเหล่านั้นมาแก้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนดขอให้เข้าใจตรงกัน อย่าอะไรกันอีกเลย ขอดูแลข้าวหอมมะลิที่มีปัญหาตอนนี้ก่อน และเชื่อว่าจะมีปัญหาอีก 2-3 เดือน ประมาณ 2 ล้านตัน และอะไรต่างๆจะดีขึ้นเอง โดยหวังว่าราคาตลาดจะดีขึ้น ส่วนการขายข้าวตามถนนตนไม่ห้าม หากเป็นรายได้เล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าขายเป็นทางการใหญ่โตเป็นห้างร้านต้องจดทะเบียน ตอนนี้ยังไม่ได้จับกุมดำเนินคดีใดๆทั้งสิ้น ถือเป็นการช่วยเหลือตัวเอง อย่าไปโทษกันไปมา ต่อไปหากไม่มีโรงสีหรือพ่อค้าข้าวเลยก็ไม่ได้ รวมถึงพ่อค้ารายใหญ่ เพราะทั้งหมดเป็นห่วงโซ่เดียวกัน แต่ทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่นกติกาให้ได้ โดยใช้กฎหมายที่มีอยู่ทุกตัวก็จะไม่มีปัญหา อย่าให้ใครมาบิดเบือน

นายกฯ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาราคาข้าวจะให้พอใจทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้ ขอให้เข้าใจรัฐบาลมีงบประมาณจำกัด สิ่งไหนทำได้ก็ทำแต่อะไรที่ผิดกฎหมายก็อย่าทำ อย่ามาบอกว่าเคยได้ราคาสูงกว่านี้ประชาชนได้ประโยชน์แล้วมันผิดกฎหมายหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ต้องระมัดระวัง ถ้าผิดกฎหมายตนทำให้ไม่ได้ สิ่งที่ตนทำนั้นได้ปรึกษาหารือกับฝ่ายกฎหมายแล้วเขาบอกว่าทำได้ เพราะเราไม่ได้ไปช่วยทุกเมล็ดหรือเก็บไว้ในคลังของรัฐ

Advertisement

ส่วนกรณีที่มีการทำหนังสือเรียกร้องให้นายกฯและผู้ที่เกี่ยวข้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง เรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครจะเพิกถอนใคร เพิกถอนตนได้หรือ เพราะทำตามหน้าที่ ทุกรัฐบาลก็มีพ.ร.บ.ฉบับนี้ เรื่องนี้เป็นคดีความที่ส่งขึ้นตามขั้นตอน ผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องไปสู้ทางคดี ถ้าไม่ผิดเขาก็ถอนให้ เขาต่อสู้คดีกันแบบนี้ไม่ใช่หรือ ถ้าเราไม่ทำเราผิดไหม

@ “ประยุทธ์” ปัด เอื้อประโยชน์ให้เอกชน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยสบายใจคือเรื่องที่บอกว่าตนไปเอื้อประโยชน์ให้เอกชน ถามว่าไปเอื้อใคร เอื้อทำไม แล้วจะได้อะไร แต่ต้องไปดูว่าสิ่งที่ได้กลับมาคืออะไร การเอาบริษัท ห้างร้านเข้ามาช่วย เป็นเรื่องที่ประชาชนจะเป็นผู้เลือกเองว่าจะขายให้ใคร จะขายให้ประชารัฐ หรือจะขายเอง ก็เรื่องของเขา ตรงนี้เป็นทางเลือกเท่านั้นเอง

“ตรงนี้เป็นกรณีทีมีคนมาช่วยการทำงานของรัฐบาล ไม่ได้เอาอะไรจากเขา แล้วเขาก็ไม่อะไรจากผม เพราะผมไม่ได้อำนวยอะไรให้เขาเลย เป็นเรื่องที่เขามาช่วย เป็นเรื่องของการต่างตอบแทน แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องการแก้ปัญหาของเรา เช่น ต้องดูเรื่องโควตา ดูเรื่องมาตรการ ดูเรื่องภาษี ข้าวโพดราคาตกก็ให้บริษัทใหญ่มารับซื้อไป ไม่ใช่ให้เอาไปขึ้นทะเบียนกับเขา เขามาซื้อไปแล้วก็จบ วันหน้าเขาไม่ต้องซื้อก็ได้”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตรงนี้เป็นทางเลือกให้ประชาชนว่าจะขายเองหรือจะขายให้ประชารัฐ หรือจะขายให้บริษัทใหญ่ รัฐบาลนี้มีหน้าที่สร้างทางเลือกให้ประชาชนเข้มแข็งด้วยตัวเขาเอง นอกจากจะมีการช่วยอย่างนี้แล้ว ก็ยังมีในส่วนของกรมวิชาการเกษตร ไปผลิตเมล็ดพันธุ์พืชให้มากกว่า 8 แสนตัน ได้สั่งไปแล้ว ต้องทำเป็นล้านตัน ก็ไม่พอ เพราะต้องใช้ถึง 6-7 ล้านตัน ต่อไปก็ขยายให้ชาวนาแต่ละกลุ่ม เช่นแปลงนี้ไม่ต้องขายเป็นข้าว แต่ให้ขายเป็นเมล็ดพันธุ์ ผมคิดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่ใครเสนออะไรมาก็รับหมด เงินมีหรือเปล่าก็ช่างมัน ผิดกฎหมายหรือเปล่าไม่รู้ก็ช่างมัน ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นนายกฯแบบนั้นไม่ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image