จตุพร-ทนายนกเขา ลุยทวงบิ๊กตู่ ปรับโครงสร้างพลังงาน- แก้บทบัญญัติ พ.ร.บ. ‘ปิโตรเลียม เป็นของรัฐและประชาชน’
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 กรกฎาคม ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ “กลุ่มประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน” นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อ
1. ทวงถามนายกรัฐมนตรี ถึงความคืบหน้าในการปรับรื้อโครงสร้างราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ และการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 มาตรา 23 เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเรื่องพลังงาน และ
2. ยื่นคำประกาศเจตนารมณ์ “ประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน” ซึ่งประกาศไว้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ครั้งชุมนุม ณ ลานคนเมือง โดยยื่นถึงคณะรัฐมนตรี ผ่านนายกรัฐมนตรี
โดย นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำคณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย (คณะไทยไม่ทน) เป็นตัวแทนอ่านหนังสือ ที่นำมายื่นถึงนายกรัฐมนตรี มีใจความ ดังนี้
“ประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน”
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2565
เรื่อง 1.ทวงถามการแก้ไข ปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงาน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ครั้งที่ 2
2.แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 มาตรา 23
เรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมาธิการนโยบายพลังงานแห่งชาติ, ประธานกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค, ประธานกรรมาธิการนโยบายแห่งรัฐ, ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
อ้างถึง
1. หนังสือเรื่อง แก้ไขปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงาน ฉบับลงวันที่ 21 มิถนายน 2565 กลุ่มรวมประชาชน
2. ทวงถามการแก้ไข ปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงาน ฉบับลงวันที่ 28 มิถุนายน 2565
สิ่งที่ส่งมาด้วย : หนังสือคำประกาศเจตนารมณ์ จำนวน 34 ชุด เพื่อนำเสอรัฐมนตรีทั้งคณะ
ตามที่ “ประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน” ยื่นข้อเรียกร้อง 9 ข้อ และได้มีการทวงถามแล้ว 1 ครั้ง บัดนี้ ท่านยังมิได้ดำเนินการใดใด ให้บังเกิดตามข้อเรียกร้องทั้ง 9 อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังไม่ได้ตอบหนังสือ หรือชี้แจงเหตุผลที่ไม่ดำเนินการแต่อย่างใด มีผลให้วิกฤตราคาพลังงาน กระทบต่อากรดำรงชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแก้ไขปัญหาก็อยู่ในสภาพที่อำนาจรัฐ มิอาจดำเนินการใดใด กับกิจการพลังงานได้
ประการสำคัญ ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน เสียหาย ก็ไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายโดยตรงที่จะดำเนินการฟ้องร้องคดีได้โดยตรง ต่อผู้ประกอบกิจการพลังงาน จึงขอท่านพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมาย ดังต่อไปนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม
รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ หรือการกระทำใดขัดหารือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติ หรือการกระทำนั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้ การนำสาธารณูปโภคของรัฐ ไปให้เอกชนดำเนินการทางธุรกิจ ไม่ว่าด้วยประการใดใด รัฐต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงการลงทุนของรัฐ ประโยชน์ที่รัฐและเอกชนจะได้รับ และค่าบริการที่เรียกเก็บจากประชาชน ประกอบกัน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 มาตรา 23 บัญญัติว่า ปิโตรเลียม เป็นของรัฐ
ประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน จึงพิจารณาเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 23 ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่ขัด หรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุดังนี้
1.เมื่อรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” แต่การที่ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม กำหนดให้ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ เป็นการเฉพาะ มีผลให้รัฐในความหมายคือ ผู้มีอำนาจรัฐ ใช้อำนาจรัฐเป็นผู้มีสิทธิฝ่ายเดียวอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่การอนุญาต การบริหารจัดการทั้งขบวนการ การถูกตัดขาดจากการมีส่วนร่วมภาคประชาชนโดยมิอาจโต้แย้ง คัดค้าน ให้รัฐรับฟัง เพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง ยับยั้ง มิให้การกระทำใด ที่มีหรืออาจมีผลกระทบเสียหายต่อประเทศชาติ ประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลตามกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ คุ้มครองไว้เพื่อให้รัฐปฏิบัติตาม
2.การที่กฎหมายกำหนดให้ “เป็นของรัฐ” เป็นการเฉพาะนั้น มีการแปรรูปกิจการพลังงาน มีผลให้ภาคประชาชนไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายโดยตรง มิอาจดำเนินการฟ้องร้องคดีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างบริหาร โครงสร้างการกำหนดราคา
“ประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน” จึงเห็นว่า ควรมีการแก้บทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวอย่างทันที เปลี่ยนจาก “ปิโตรเลียม เป็นของรัฐ” แก้เป็น “ปิโตรเลียม เป็นของรัฐและประชาชน” ร่วมกัน
จากนั้น แก้บทบัญญัติมาตราต่างๆ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน เพื่อรับรอง คุ้มครองสิทธิของประชาชน ให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ บริหารกิจการพลังงานอย่างแท้จริงตามกกฎหมาย เหตุผลในการแก้ไข เป็นไปตามที่กล่าวข้างต้น