ก.ค. 60 ยังเป็นหมุดหมายในโรดแมปของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ขยับเขยื้อนให้ความเชื่อมั่นทางการเมือง-เศรษฐกิจสั่นคลอนและล้ม ลงเป็นโดมิโน คงมีแต่เพียงปัญหาทางเทคนิคที่มาจากแท็กติกของนาย มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) วางไว้ในร่างแรกของรัฐธรรมนูญ ซึ่ง “คนในรัฐบาล” กำลังพัลวันอยู่กับทางแก้
10 ก.พ. ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกรอบ-กฎเกณฑ์การออกเสียงประชามติที่จะ เกิดขึ้นราว ก.ค. 59 อาทิ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ
วาระพิจารณาลำดับต้น ๆ คือ บทลงโทษ หากมีการทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการประชามติ อาทิ การฉีกบัตรออกเสียงประชามติ หรือการทำลายหีบหย่อนบัตรออกเสียงประชามติ อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ กกต.ได้ยกร่างประกาศ กกต.เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. …” เพื่อเตรียมส่งให้ ดร.วิษณุจำนวน 55 ข้อ ก่อนที่ร่างประกาศ กกต.จะเป็นหมันตายตกไปตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อาทิ การนำความในหมวด 10 ความผิดและบทกำหนดโทษแห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552 มาบังคับใช้
ทั้งนี้ ใน พ.ร.บ.ประชามติ 2552 มีบทลงโทษรวมกัน 7 มาตรา เช่น ผู้ใดที่ก่อความวุ่นวายขึ้นในที่ออกเสียง หรือกระทำการใดอันเป็นการรบกวนหรือเป็นอุปสรรคแก่การออกเสียง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือผู้ใดกระทำการเสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินเรียกรับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อจะไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทว่า ปมร้อนที่ถูกจ้องมองมากที่สุด คือ รัฐบาล-คสช.จะแก้ปมในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 57 เกณฑ์การนับคะแนนให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยผ่าน-ไม่ผ่านการออกเสียง ประชามติ โดยยึดหลักเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ หรือยึดหลักเสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติ เกณฑ์ทั้ง 2 ต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะถ้ายึดหลักเสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติ โอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยมีแนวโน้มจะผ่านประชามติสูง
ในทางกลับกันหากยึดหลักเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ หรือ 25 ล้านเสียง จากผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50 ล้านเสียง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยจะเปรียบเสมือนเข็นครกขึ้นภูเขา
ปมที่สอง หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยไม่ผ่านประชามติ รัฐบาล-คสช.จะมีทางเลือก-ทางออกเป็นนวัตกรรมชิ้นใหม่ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราว 57 โดยที่ไม่กระทบกับหลักชัยที่ พล.อ.ประยุทธ์ปักไว้ คือ มีการเลือกตั้ง ก.ค. 60
“รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” รองอธิการบดี-อดีตคณบดีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) วิเคราะห์ทางออกของ คสช.หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยไม่ผ่านประชามติออกเป็น 3 ทาง ได้แก่ ทาง ที่ 1 เปลี่ยนรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 57 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร โดยเพิ่มเติมหมวด-มาตราที่สำคัญ อาทิ เกี่ยวกับระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง สิทธิเสรีภาพ กลไกการตรวจสอบ ศาลและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ทางที่ 2 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้ง โดยให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนายมีชัยร่างต่อ ตั้งกรรมการร่างชุดใหม่ กำหนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หรือให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้ร่าง
ทางที่ 3 นำรัฐธรรมนูญฉบับปี”40 หรือ 50 มาใช้บังคับใช้ทันทีหรือนำมาปรับปรุงใหม่ก่อนบังคับใช้
“ถ้าจะให้อ่านใจ คสช.คงจะเลือกทางที่ 2 คือ ตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ โดยใช้คนที่พล.อ.ประยุทธ์ไว้ใจ เพื่อไม่กระทบกับโรดแมปของ คสช.ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งกลาง ปี”60 เพราะการร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาร่างเฉพาะในสาระสำคัญเท่านั้นเพียง 2 เดือน เพราะส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่เหมือนกันในรัฐธรรมนูญทุก ๆ ฉบับ” อดีตคณบดีรัฐศาสตร์ มสธ.ฟันธง
ขณะนี้คนในรัฐบาลและ คสช.ยังไม่มีการขยับ-ตั้งรับหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยไม่ผ่านประชามติ รอเพียงเงี่ยหูฟังแต่คำวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญถาวรฉบับที่ 20 ที่กำลัง “เป็นวุ้น” เพราะสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์-อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ตาม ม.44 จะตัดสินใจ