‘สร้างอนาคตไทย’ จ่อเปิดตัว ‘สมคิด’ หลังศึกซักฟอก ให้ ปชช.เห็นแผลรัฐบาล ชู นโยบาย ศก.-การเมือง หวังดึงเสียงคนยังไม่ตัดสินใจเลือกแคนดิเดตนายกฯ อาสาทำ TheLastWar ฉุด ปท.พ้นก้นเหว
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการโพสต์รูปภาพ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค สอท.ว่า ทางพรรคมองว่า นายสมคิดเป็นคนที่มีประสบการณ์ทางการบริหารเศรษฐกิจ จึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดคนหนึ่งที่จะเป็นแคนดิเดตของพรรค ทั้งนี้คิดว่าต้องมีกระบวนการของพรรคอย่างต่อเนื่องว่า พอนายสมคิดเปิดตัวแล้วจะเชิญนายสมคิดมาเป็นแคนดิเดตนายกฯตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างไร
เมื่อถามว่า ทำไมจึงรอเปิดตัวนายสมคิดหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสุรนันทน์กล่าวว่า ถือว่าเป็นจังหวะทางการเมืองที่เหมาะสม ที่จะทำให้สิ่งที่นายสมคิดต้องการจะสื่อสารออกไปสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างแท้จริง เพราะช่วงนี้ประชาชนกำลังจดจ่ออยู่กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประชาชนก็จะยิ่งเห็นถึงข้อบกพร่องของรัฐบาลที่ผ่านมา และอาจจะเห็นบทบาทของทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่มีทั้งดีและไม่ดี พรรคก็อยากเสนอตัวเป็นทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะฉะนั้นรอหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วค่อยว่ากัน
เมื่อถามถึง นโยบายหลักของพรรค สอท. ที่จะใช้หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายสุรนันทน์กล่าวว่า ก็จะมุ่งเน้นไปที่ 2 โครงสร้างหลัก คือ 1.โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศมันต้องเปลี่ยนไปตามที่โลกเปลี่ยนด้วย เพราะโลกหลังโควิด-19 ไม่เหมือนโลกก่อนโควิด และทุกประเทศตอนนี้ก็กำลังค้นหายุทธศาสตร์ที่จะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของประเทศ ที่รวมไปถึงเศรษฐกิจฐานราก เพื่อจะทำให้เกิดความเข้มแข็ง โดยพรรค สอท.จะนำเศรษฐกิจดิจิทัลมาผสมผสานอย่างไรให้เหมาะสมกับประเทศไทย คำว่าสตาร์ตอัพ มันใช้ได้กับแค่คนในเมือง ซึ่งก็ต้องสนับสนุน แต่จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจดิจิทัลเข้าไปสนับสนุนภาคการเกษตร ทำให้มูลค่าการส่งออกทางการเกษตรดีขึ้น ตอนนี้ประเทศไทยอาจจะดีใจว่าหลายประเทศในโลกยังนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย แต่กลายเป็นว่าประเทศไทยขายแค่วัตถุดิบ แทนที่จะได้ราคามากกว่านั้น และ 2.โครงสร้างทางการเมืองที่จะต้องปรับ เพื่อที่จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทางพรรคก็กำลังคิดที่จะเสนอให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะปรับแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งการปรับแก้นี้จะเปิดโอกาสให้ประชาชน ทั้งทางการเมือง สิทธิ เสรีภาพ และโอกาสทางเศรษฐกิจอีกด้วย
เมื่อถามว่า การลงรูปโปรโมตแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค มีการขึ้น #TheLastWar แฮชแท็กนี้มีความหมายหรือนัยยะสำคัญอะไรหรือไม่ นายสุรนันทน์กล่าวว่า พรรคมองว่าใน 2-3 ปีข้างหน้า ถ้าประเทศไทยไม่เปลี่ยนแปลง ก็อาจจะถึงคราวที่ประเทศจะลงเหวไปลึกกว่านี้ ตอนนี้ก็จะถึงก้นเหวอยู่แล้ว Last War ก็หมายความว่าเราต้องต่อสู้ให้ชนะสงครามคราวนี้ให้ได้ ทั้งสงครามเศรษฐกิจและสงครามการเมือง การจะก้าวข้ามความขัดแย้งนี้ไปก็เหมือนกับเป็นโอกาสสุดท้ายของประเทศ ถ้าประเทศอื่นปรับตัว ตั้งหลักและค้นหาทิศทางการพัฒนาได้เร็วกว่าประเทศไทย ประเทศไทยก็จะเสียโอกาส กลายไปเป็นประเทศโลกที่สามที่ไม่สามารถก้าวข้ามปัญหาหลายอย่างไปได้ เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่ Last War ของนายสมคิด แต่เป็น Last War ของประเทศทั้งประเทศนี้ด้วย
เมื่อถามว่า จากโพลล่าสุดของนิด้าที่มีการจัดลำดับแคนดิเดตนายกฯ เช่น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คิดว่านายสมคิดจะสู้คนเหล่านี้ได้หรือไม่ นายสุรนันทน์กล่าวว่า ตนเคารพโพล แต่ต้องยอมรับว่าบุคคลที่อยู่ใน 5 ลำดับแรก เป็นบุคคลที่อยู่ในกระแสข่าวตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อถามโพล คนก็จะต้องรู้ว่าคนไหนเป็นคนไหน นายสมคิดยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเลยและก็หายไปจากแวดวงการเมืองมากกว่า 2 ปีแล้ว ดังนั้น ทางพรรค สอท.ไม่ห่วงว่าจะสู้ไม่ได้ ขณะเดียวกันคะแนนลำดับ 2 ของกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจหรือยังไม่เห็นว่าใครเหมาะสม ถือเป็นโอกาสที่พรรคใหม่ รวมทั้งพรรค สอท.จะเข้ามาอยู่ในลำดับนี้ ซึ่งคิดว่าถ้าพรรค สอท.สามารถโน้มน้าวจิตใจของประชาชนได้ พรรคก็จะมีโอกาส