‘สันติ’ โต้เดือด ‘โจ้’ ถามมีใครรับงาน ‘อีสท์วอเตอร์’ มาหรือไม่ ลั่นมีฐานะอยู่แล้ว ไม่ต้องเอื้อประโยชน์ใคร

ยุทธพงศ์บี้ ‘สันติ’ ตอบตรงคำถาม รมช.คลังโวย ถามมีใครรับงาน ‘อีสท์วอเตอร์’ มาหรือไม่ ลั่นมีฐานะอยู่แล้วไม่ต้องเอื้อประโยชน์ใคร ยันยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง ไล่ตรวจสอบ 30 ปี ผลตอบแทนรัฐ 2 หมื่นล้านบาทหายไปอยู่กับใคร อัศจรรย์ยื่นซองรอบสอง เพิ่มเงินให้รัฐทะยาน 25% ทั้งที่ 30 ปี ให้ยังไม่ถึง 600 ล้านบาท

เมื่อเวลา 13.23 น. วันที่ 20 กรกฎาคม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า กรณีท่อส่งน้ำของโครงการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เดิมทางบริษัทอีสท์วอเตอร์ บริหารอยู่ ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการมาแล้ว 30 ปี บริษัทอีสท์วอเตอร์ มีสัญญากับกรมธนารักษ์ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 เซ็นสัญญาตั้งแต่ปี 2537 สิ้นสุดในปี 2566 ส่วนอีก 2 ส่วน ได้รับมอบมาจากกรมชลประทาน ซึ่งไม่ได้มีการเซ็นสัญญากับกรมธนารักษ์ เป็นการเช่าไปพลางก่อน โดยส่วนหนึ่งต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับรัฐ 3% อีกส่วนจ่ายให้รัฐ ส่วนสัญญาที่จะหมดในปี 2566 อีสท์วอเตอร์จ่ายให้รัฐ 1% เท่านั้น และหากไม่เร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำในปี 2566 ภาคตะวันออก ซึ่งมีอุตสาหกรรมมากมายและมีโรงกลั่น ซึ่งมีความสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศจะเสียหาย

ทางกรมธนารักษ์จึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพื่อความไม่ประมาท แต่กรมธนารักษ์ไม่มีศักยภาพในการจัดการที่ดิน ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการน้ำ จึงต้องให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่ปรึกษา รับไปศึกษาโครงการอย่างรอบคอบ และผลประโยชน์ต่างๆ เพื่อมาร่วมทำทีโออาร์ในครั้งนี้ และเพื่อไม่ให้ขาดความต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยเกษตรจึงได้กำหนด 4 แนวทางคือ 1.วิธีการประมูล 2.วิธีการแยกการประมูลโดยวิธีจำกัดเฉพาะเลือกเอกชนรายใดรายหนึ่ง 3.ยกเว้นการประมูล ใช้วิธีคัดเลือกเอกชนอย่างน้อย 3 ราย และ 4.แนวทางการดำเนินการอื่นๆ ในการจัดการน้ำในภาคตะวันออก เช่น รัฐดำเนินการเอง ดังนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรได้มีข้อแนะนำให้กรมธนารักษ์ใช้วิธีแนวทางที่ 3 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการคัดเลือกการแข่งขันของเอกชน

นายสันติกล่าวต่อว่า ในการคัดเลือกครั้งที่ 1 ทางคณะกรรมการไม่สามารถชี้ขาดได้ว่าจะให้ใครเป็นผู้บริหารจัดการน้ำ เนื่องจากปริมาณน้ำของการทำทีโออาร์ของบริษัทอีสท์วอเตอร์ และบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด มีความไม่สมบูรณ์ เพราะหากตัดสินให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ไม่เกิดความเป็นธรรม คณะกรรมการจึงยกเลิกในการยื่นข้อเสนอครั้งแรก ส่วนการคัดเลือกครั้งที่ 2 และบริษัทอีสวอเตอร์ ก็ได้เข้าแข่งขันอีกครั้งหนึ่ง รวมมีผู้ยื่นซองทั้งหมด 3 ราย คือ 1.บริษัทอีสท์วอเตอร์ ให้ผลตอบแทน 30 ปี รวม 24,212.69 ล้านบาท 2.บริษัท วิค จำกัด (มหาชน) ให้ 6,173.70 ล้านบาท และ 3.บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ให้ 25,693.08 ล้านบาท

ตนอยากให้นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) คิดย้อนกลับไปว่า 30 ปีที่ผ่านมานั้น บริษัทอีสท์วอเตอร์ให้ผลตอบแทนกับรัฐบาลจนถึงวันนี้ยังไม่ถึง 600 ล้านบาท แทนที่ท่านจะไปคิด จะไปพูดไม่ไว้วางใจตนว่าไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ แล้วท่านรักษาผลประโยชน์หรือไม่ โดย 30 ปีจากนี้ไปบริษัทวงษ์สยามจะจ่ายผลประโยชน์ให้รัฐกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท แล้วจะพยายามให้ยกเลิกและเปิดประมูลใหม่ ผมถามว่าหากเปิดประมูลใหม่แล้วมียื่นข้อเสนอมาเหมือนครั้งแรกคือ 9 พันล้านบาทนั้น ท่านจะรับผิดชอบเงินของรัฐที่ขาดหายไปอย่างไร

Advertisement

นายสันติกล่าวว่า นอกจากนี้ คณะกรรมการมีสิทธิจัดการหากเกิดปัญหาที่ไม่สามารถอำนวยความเป็นธรรมและโปร่งใส ก็มีสิทธิที่จะยกเลิกได้ และคำสั่งศาลที่คุ้มครองชั่วคราวก็ไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดเกิดความเสียหาย ทั้งนี้ บริษัทอีสท์วอเตอร์มีการประปาถือหุ้นอยู่ 10% ขณะเดียวกันมีเอกชนถือหุ้นกว่า 50-60% และบริษัทต่างชาติ 4 บริษัท ถือหุ้นอยู่ 25% ตลอด 30 ปีที่ผ่านมานั้นบริษัทอีสท์วอเตอร์จ่ายค่าตอบแทน 600 ล้านบาท แต่อีก 30 ปีต่อจากนี้จะได้จากบริษัท วงษ์สยาม 2.6 หมื่นล้านบาท แล้ว 30 ปีที่ผ่านมาผลประโยชน์ของชาติหายไปไหน

ตนจึงจะฟ้องประชาชน แล้วท่านยังมากล่าวหาทำให้ข้าราชการกรมธนารักษ์ได้เสียกำลังใจ เพราะทำหน้าที่และดูกฎหมายอย่างรอบคอบว่าไม่เป็นธรรมในครั้งแรกจึงจะต้องยกเลิก และประกาศคัดเลือกในครั้งที่ 2 ที่บริษัทอีสท์วอเตอร์ เสนอผลประโยชน์ตอบแทนมาถึง 2.4 หมื่นล้านบาท เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ให้เพิ่มผลประโยชน์แทน เพิ่มขึ้นมาทันทีถึง 25% ตนขอชื่นชมกรมธนารักษ์ที่ทำงานอย่างเที่ยงตรง ยึดผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ทั้งที่ถูกท่านกดดันมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

จากนั้น นายยุทธพงศ์ได้ลุกขึ้นขอให้นายสันติตอบคำถามประเด็นที่กรมธนารักษ์ไม่เปิดประมูลทั่วไป ทำให้นายสันติชี้แจงว่า โครงการนี้มีความสำคัญมาก จึงจำเป็นต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาในการคัดเลือกผู้ยื่นซองประมูล เพื่อหามาตรฐานการคำนวณปริมาณน้ำ แต่นายยุทธพงศ์ยังลุกประท้วงอีกครั้งว่าให้นายสันติตอบคำถามแบบเข้าประเด็น นายสันติจึงตอบโต้ทันทีว่า “ผมถามจริงๆ เถอะ ว่านายยุทธพงศ์รู้ข้อมูลเรื่องผลตอบแทนของรัฐในรอบแรกมากกว่าผมได้อย่างไร ว่าจะมี 40 หรือ 60 แสดงว่ามันคงมีอะไรสักอย่าง หรือมีใครไปรับงานมาจากบริษัทอีสท์วอเตอร์หรือไม่ ผมไม่ทราบ

Advertisement

ผมต้องทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐ และสัญญายังไม่ได้เซ็น ทำไมจะมากล่าวหาผมแบบนี้ ทำไมนายยุทธพงศ์ถึงเอนเอียงเข้าข้างบริษัทอีสท์วอเตอร์ได้มากขนาดนี้ และผลประโยชน์กว่า 2 หมื่นล้านบาท ที่หายไปอยู่ไหน เรามาจับมือหาเงินที่หายไปดีกว่าไหม ทั้งบริษัทอีสท์วอเตอร์ และบริษัทวงษ์สยาม ผมไม่เคยโทรศัพท์ไปหา เพราะผมมีฐานะอยู่แล้ว ผมไม่มีความจำเป็นต้องเอื้อใคร ถ้าจะเอื้อก็จะเอื้อประชาชน นอกจากนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์จะทุจริตก็รับไปตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมต้องมาประกวดราคาใหม่”

อย่างไรก็ตาม นายยุทธพงศ์พยายามโต้แย้งและจะขออภิปรายอีก ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา คนที่ 2 ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม เบรกไม่ให้อภิปราย เพราะทั้งสองฝ่ายได้อภิปรายแล้ว และไม่ควรโต้แย้งกันไปมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่นายสันติชี้แจงนั้น มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นบริเวณรอบอาคารรัฐสภาแ​ละห้องประชุม ทำให้นายสันติต้องหยุดการชี้แจงชั่วครู่ และสมาชิกต่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น โดยนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พูดขึ้นว่า “ทำอย่างไรดีครับท่านประธาน” แต่นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภา คนที่ 1 ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น ได้แจ้งว่าไม่ต้องตกใจ เสียงดังกล่าวเกิดจากปัญหาน้ำ จากนั้นนายสันติจึงอภิปรายต่อ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image