ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
ใกล้เวลาหมดอำนาจ เกมการเมืองโค้งสุดท้ายไม่มีคำว่าอาย ธาตุแท้ของแต่ละฝ่ายปรากฏออกมาให้เห็นชัดขึ้น โดยมีวาระสำคัญต่างๆ ของสภาเป็นตัวกระตุ้น
อย่างกรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา แม้พรรคฝ่ายค้านหลายคนทำได้ดีกว่าครั้งก่อน โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคก้าวไกล รวมทั้งดาวเด่นของพรรคเพื่อไทย แต่สุดท้ายเหตุผลการลงคะแนนก็เป็นไปเพื่อ จุด จุด จุด
ผลการลงคะแนนที่กลายเป็นควันหลงจากการอภิปราย คือ กรณีของ ส.ส.โหวตสวนมติพรรค ทำให้คะแนนของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยน้อยลง
ฟังๆ ดูเหตุผลที่โหวตกรณีรัฐมนตรีสุชาติ เป็นเพราะไม่พอใจที่บ้านใหม่เมืองชลฯ เริ่มรุกเข้ามายึดพื้นที่ตัวเอง ส่วนกรณีบิ๊กป๊อก เป็นเพราะไม่พอใจที่มหาดไทยไม่สนับสนุนงบประมาณ
เหตุผลเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เรื่องราวที่พรรคฝ่ายค้านนำเสนอในการซักฟอก คือสงสัยในความมิชอบ และคุณสมบัติที่ไม่เหมาะเป็นรัฐมนตรี
แต่ข่าวที่สะพัดถึงเหตุการโหวตไม่ยอมรับกลับกลายเป็นเรื่องอื่นๆ
ฟังแล้ว งง
กรณีงูเห่าที่โหวตสวนรัฐมนตรี หรือโหวตหนุนรัฐมนตรี ก็เหมือนกัน
หลายคนโหวตเพราะจะย้ายค่ายเปลี่ยนพรรค จึงต้องสนับสนุนพรรคที่ตัวเองจะไปสังกัดในอนาคต ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาในญัตติการซักฟอกไม่ไว้วางใจ
แต่ที่แย่กว่าแย่ คือข่าวการโหวตที่ไปเกี่ยวข้องกับ “แจกกล้วย” จริงเท็จประการใด
ยังไม่มีการพิสูจน์ แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวก็ต้องพิสูจน์ต่อไปว่าจริงเท็จประการใด
อีกกรณี คือ การพิจารณาร่าง พ.ร.ป. 2 ฉบับ คือ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. กับ กฎหมายพรรคการเมือง โดยเฉพาะประเด็นดุเรื่องสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
มองเห็นการพิจารณาที่เดี๋ยวสนับสนุนหาร 100 เดี๋ยวสนับสนุนหาร 500 เดี๋ยวจะกลับไปสนับสนุนหาร 100 อีกแล้ว
หนักไปกว่านั้น คือ เพิ่งยกมือแก้ไขรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งใช้บัตร 2 ใบตอนนี้มีใครก็ไม่ทราบหยั่งเสียงอยากจะให้กลับไปใช้บัตรใบเดียว
เรื่องแย่งชิงอำนาจ บนวิถีการเมืองถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคนที่อาสาเข้ามาก็อยากได้อำนาจเป็นธรรมดา
และการแย่งชิงอำนาจดังกล่าวนั้น คนภายนอกมองแล้วรับไม่ได้ นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอาการผู้ทรงเกียรติที่แสดงออกมาโจ่งแจ้งเกินไป
แต่สิ่งที่ทำให้ผิดหวัง คือ กลุ่มคนที่เคยรังเกียจวิถีการเมืองเช่นนี้ และบอกว่าจะเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลง
พอถึงเวลาเข้าจริง กลับยอมรับสิ่งที่เคยรังเกียจได้
เมื่อใกล้เวลาเลือกตั้ง หมายถึงว่าระยะเวลานั่งอยู่ในอำนาจกำลังหมดลง แต่ยังต้องการนั่งอยู่ในอำนาจต่อไปอีก กลับแสดงอาการยอมรับในสิ่งที่เคยอยากเปลี่ยนแปลง
ยอมทุกอย่างภายใต้แนวคิด “ต่อรอง” เพื่อรักษาอำนาจเอาไว้
ยอมกระทำในสิ่งที่ตัวเองเคยประณาม ยอมกระทำในสิ่งที่ตัวเองเคยรังเกียจ
เห็นสภาพเช่นนี้แล้วรู้สึกเสียดายเวลา เสียดายโอกาสของประเทศ ถ้าทุกอย่างที่ทำอยู่นี้คือสิ่งที่ยอมรับได้ แล้วจะไปประกาศปฏิรูปการเมืองกันไปทำไม
นึกว่าหลัง 2557 ที่มีการยึดอำนาจ จะมีการปฏิรูปการเมืองให้ปลอดพ้นจากสิ่งที่เคยรังเกียจ
แต่จนบัดนี้ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันห่างไกลคำว่า “ปฏิรูป” ไปเรื่อยๆ
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]