โดนตีตกแบบชวนงุนงงสงสัย สำหรับ ศ.ดร.อารยะ ปรีชาเมตตา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช.
ทว่าในการ “ลงคะแนนลับ”ณ รัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ในที่ประชุมวุฒิสภา ซึ่ง พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 นั่งเก้าอี้ประธาน พิจารณาให้ความเห็นชอบ ผลออกมาว่า เห็นชอบ 38 คะแนน ไม่เห็นชอบ 146 คะแนน ไม่ออกเสียง 14 คะแนน
พูดง่ายๆ ว่า “ไม่ได้รับความเห็นชอบ” เนื่องด้วยคะแนน “ไฟเขียว” น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
นำมาซึ่งเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ว่าเหตุใดจึง “ตีตก” บุคคลผู้มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์
ที่ชวนฮือฮาไปกว่านั้น คือกระแสข่าวที่ว่า สาเหตุที่ถูกขวางนั่งเก้าอี้มาจากแนวคิดตรงข้ามฝ่ายอนุรักษนิยม
งานนี้ ศ.พิเศษ ดร.ธงทอง จันทรางศุ ประธานบอร์ดกรุงเทพธนาคม เจ้าของวาทะ “รถไฟฟ้าสายสีเขียววิ่งบนหัวผมทั้งวัน” แวะสถานีเฟซบุ๊ก โพสต์ลอยๆ
“เพิ่งทราบว่าคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตรวจสอบต้องมีแนวคิดอนุรักษนิยม พลิกตัวบทรัฐธรรมนูญดูก็หาไม่พบ แปลกจริง”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังแชะภาพตัวบทกฎหมาย “ส่วนที่ 4 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามและทุจริตแห่งชาติ มาตรา 232” มาเป็นหลักฐานว่าไม่มีการระบุถึงคุณสมบัติด้านอนุรักษนิยมแต่อย่างใด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ด้าน กูรูจากรั้วเหลือง-แดง กระซิบว่า งานนี้พางงยกวงการ กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ แคมปัส” ตั้งแต่ท่าพระจันทร์ยันทุ่งรังสิต โดยต่างก็ช่วยกันขบคิดว่า 146 คะแนนที่ “ไม่เห็นชอบ” นั้น คิดอะไรอยู่ในใจ มีผลงานใดที่ไม่เข้าตา ประเด็นน่าสนใจคือ งานวิชาการของ ศ.ดร.อารยะนั้น มักเป็นงาน “คณิตศาสตร์ชั้นสูงมาก” ในเมืองไทยคงมีไม่กี่คนที่เข้าใจ หันไปดูงานสอนหนังสือนักศึกษา ก็ไม่เกี่ยวกับ “แนวคิดทางการเมือง” แต่อย่างใด
“บทความวิชาการ เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำ ก็ไม่น่าเกี่ยวอะไร เพราะเป็นข้อเท็จจริงเฉยๆ อาจารย์อารยะไม่ได้สอนอะไรที่เกี่ยวกับความคิดทางการเมืองด้วย มีแต่สอนเรื่องเลข” กูรูวิเคราะห์ ก่อนทิ้งปมให้ไปค้นต่อว่านอกเหนือจากงานวิชาการ ศ.ดร.อารยะยังเป็น คอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์มากกว่า 1 ฉบับ รวมถึงเคยออกสื่อ ให้ความเห็นในประเด็นต่างๆ ซึ่งไม่แน่ใจว่าการตีตกโดยเหล่า ส.ว. มาจากเหตุดังกล่าวหรือไม่
นอกจากนี้ ศ.ดร.อารยะ เคยเสนอแนวคิดต่อกรรมการสรรหา เรื่องการนำมิติทางเศรษฐศาสตร์เข้าไปประยุกต์ใช้กับการสืบสวนสอบสวนของ ป.ป.ช. เพื่อให้ได้ข้อมูลความจริงที่รอบด้านขึ้น และได้ยกตัวอย่างคัดค้านกรณีนายทหารที่ไม่ได้แจ้งบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จในบัญชีหนี้สินทรัพย์สิน รวมถึงการวิจารณ์คดีอื้อฉาวอย่างเรื่อง “นาฬิกายืมเพื่อน” ไว้ด้วย
ครั้นไปส่องความสนใจทางวิชาการของ ศ.ดร.อารยะ พบว่าได้แก่ พลวัตการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตเมืองและปัญหาความเหลื่อมล้ำ, การศึกษาภาวะฟองสบู่ในราคาที่ดินที่ส่งผลต่อการใช้ประโยชน์ที่ดิน, การศึกษาแนวทางนโยบายที่เหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรมไทยที่จะขยับไต่ขึ้นระดับขั้นของบันไดเทคโนโลยีการผลิต (Quality ladders) และการกระจุกตัวในเชิงพื้นที่ของที่ตั้งอุตสาหกรรม, ความผันผวนของราคาน้ำมันตลาดโลกและนัยต่อนโยบายพลังงานทดแทนไทย และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตในระดับจังหวัดที่มีต่อความเหลื่อมล้ำในระดับท้องถิ่น
ล่าสุด ได้รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ปี 2562 เมธีวิจัยอาวุโส สกว. รวมถึงกีรตยาจารย์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังไม่นับโล่รางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยที่เรียงรายในตู้โชว์ตั้งแต่ปี 2551, 2552, 2556 และ 2562 ที่ได้รับจากต้นสังกัดรั้วแม่โดม รางวัล Best Paper Award of AEJ 21 ประเภท “บทความดีเยี่ยม” จากวารสารเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ เรื่อง “พลวัตความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ : สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น” ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัย สกว. (เมธีวิจัยอาวุโส สกว.) สาขาสังคมศาสตร์ พ.ศ.2555 รางวัลผลงานวิจัย ระดับดีเยี่ยม สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2551 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (รางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ) และอื่นๆ อีกมากมาย
เรียกได้ว่า คุณภาพคับจนล้นแก้ว!
ประวัติชีวิตยังไม่พบจุดด่างพร้อย
ศ.ดร.อารยะจบการศึกษาปริญญาตรี-โท ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บินไปต่อโทอีกใบด้าน Energy Management and Policy, University of Pennsylvania สหรัฐ ก่อนคว้าปริญญาเอก Regional Science, University of Pennsylvania สหรัฐ เช่นเดิม
ปัจจุบัน เกษียณอายุราชการแล้ว แต่ยังได้รับเชิญให้สอนที่คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ด้วยความรู้ความสามารถที่ปราศจากข้อกังขา
แต่สมาชิกวุฒิสภากลับไม่เอาด้วย?
รองศาสตราจารย์ ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ระบุว่า ได้อ่านวิสัยทัศน์และแนวทางการทำงานที่ ศ.ดร.อารยะ เสนอต่อกรรมการสรรหาแล้ว คิดว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่ดีมาก หากนำไปปฏิบัติจริงคงจัดการกับผู้ทุจริตได้อีกมาก แต่สมาชิกวุฒิสภาเสียงส่วนใหญ่กลับไม่เห็นชอบให้เป็น ป.ป.ช.
“ถ้าดูประวัติและวิสัยทัศน์ อาจารย์อารยะมีวิสัยทัศน์การจัดการกับปัญหาทุจริตเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการใช้มาตรการทางภาษีมาเป็นมาตรการหนึ่งในการตรวจสอบ เช่น เรื่องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่กับการเสียภาษีต่างๆ ซึ่งถ้าอาจารย์อารยะอยู่ตรงนั้น คงตรวจสอบบรรดานักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลที่อาจมีทรัพย์สินมาก แต่มีการเสียภาษีไม่ได้สัดส่วน คงเป็นสิ่งที่ทำให้การป้องกันปราบปรามทุจริตคงดีขึ้น” รศ.ดร.พิชายกล่าว
ส่วนประเด็น “นาฬิกายืมเพื่อน” และการไป “แตะ” ทหารนั้น รศ.ดร.พิชาย มองว่าอาจเป็นส่วนที่ทำให้ ส.ว.บางกลุ่มไม่ค่อยพึ่งพอใจ จากทรรศนะที่ “ตรงไปตรงมา” ของ ศ.ดร.อารยะ
“ไม่ว่าเรื่องนาฬิกายืมเพื่อนหรืออะไรต่างๆ ที่ผ่านมา อาจารย์อารยะมีทรรศนะการมองอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งอาจมีทิศทางไม่สอดคล้องกับ ส.ว.บางกลุ่มที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือแต่งตั้งกับผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องของนาฬิกายืมเพื่อน ดังนั้น ส.ว.ส่วนนั้น จึงไม่ค่อยพึงพอใจกับสิ่งที่อาจารย์อารยะตอบในเรื่องนี้
ซึ่งคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โหวตไม่เห็นชอบ เพราะเกี่ยวพันกับบุคคลที่จะมีอำนาจในการแต่งตั้ง ส.ว.ในตอนต้น เราทราบกันว่า ส.ว.ชุดนี้เข้ามาด้วยสายสัมพันธ์ทางอำนาจกับอดีต คสช.เก่า นี่คงเป็นสาเหตุสำคัญ”
ถามว่า ในประวัติศาสตร์ ป.ป.ช. เคยมีการ “ตีตก” ในลักษณะนี้ด้วยเหตุและผลในแนวทางเช่นเดียวกันกับกรณี ศ.ดร.อารยะหรือไม่ รศ.ดร.พิชาย ตอบว่า ไม่มีข้อมูล ไม่เคยเห็นปรากฏในสื่อสาธารณะที่เรารับรู้ แต่ครั้งนี้ เมื่อ ศ.ดร.อารยะไม่ได้นั่ง ป.ป.ช. ทั้งที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี มีความสามารถ ก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดเจน และทำให้พวกเราเห็นว่าสิ่งที่ ศ.ดร.อารยะพูดหรือแสดงวิสัยทัศน์นั้นไปกระทบผู้มีอำนาจบางคนที่มีอิทธิพลกับ ส.ว.
ส่วน 38 เสียงไฟเขียวเห็นชอบนั้น รศ.ดร.พิชายชี้ว่า ส.ว.กลุ่มดังกล่าว ส่วนหนึ่งอาจไม่ได้มาจากฐานอำนาจกลุ่มเดียวกันกับเสียงส่วนใหญ่ของเหล่า ส.ว. อีกทั้งพิจารณาจากวิสัยทัศน์ของ ศ.ดร.อารยะ ว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงาน
“จากผลการออกเสียงปรากฏว่า ที่ ส.ว.ประชุมให้ความเห็นชอบด้วยคะแนน 38 คะแนน ไม่ให้ความเห็นชอบ 146 คะแนนนั้น แสดงว่าอาจมี ส.ว.ส่วนหนึ่งไม่ได้มาจากฐานอำนาจกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มเสียงส่วนใหญ่ก็ได้ และเขาดูวิสัยทัศน์ของอาจารย์อารยะว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงาน ป.ป.ช. กลุ่มนี้อาจมีความคิดเป็นอิสระ จะเห็นว่า ส.ว.ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวเสียทั้งหมด จะมีเสียงส่วนน้อยที่มีความเห็นแตกต่างกันออกไป” รศ.ดร.พิชายกล่าว
ประเด็นนี้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ไม่มีพลาด โพสต์เฟซบุ๊กส่งเสียงขำด้วยเลข 5 อารบิค 5 ตัวติดกัน พร้อมข้อความว่า
“ป.ป.ช.ประเมินความโปร่งใสของกองทัพไทย ได้ 100% เต็ม คือไม่มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นแต่ประการใด”
สำหรับเหตุผลที่แท้จริง ในความตื้น-ลึก-หนา-บาง คืออะไร? ต้องถามใจ 146 เสียง