ทำท่าว่าเส้นทางของ พรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังจะทับรอยเดียวกันกับเส้นทางของ พรรคสร้างอนาคตไทย ก่อนหน้านี้อย่างมิได้นัดหมายในเรื่อง แคนดิเดต “นายกรัฐมนตรี”
แม้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะยังไม่ยอมรับในเรื่องนี้อย่างเด่นชัด แต่ก็อ่านได้จาก นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
คำมั่นของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ว่าที่เลขาธิการพรรคที่ยืนยันว่า โดยหลักการจำเป็นต้องเสนอหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” นับว่าแจ่มชัด
แจ่มชัดเหมือนกับที่พรรคสร้างอนาคตไทยยืนยันที่จะมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็นของตนเอง ซึ่งก็น่าจะเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือไม่ก็เป็น นายอุตตม สาวนายน
การยืนยันในหลักการ ไม่ว่าจะมาจากพรรคสร้างอนาคตไทย ไม่ว่าจะมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ เท่ากับปฏิเสธชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปโดยอัตโนมัติ
นี่คือความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างพรรครวมไทยสร้างชาติกับพรรคในตระกูล “รวม” อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น พรรครวมพลัง ไม่ว่าจะเป็น พรรครวมแผ่นดิน
ทั้งนี้ แทบไม่ต้องกล่าวถึงการโยงอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ
ความโน้มเอียงในการแสดงท่าทีของ พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงไม่เพียงแต่เป็นการสร้างจุดต่างออกไปจาก พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมแผ่นดิน โดยพื้นฐาน
หากที่สำคัญอย่างยิ่งยวดย่อมเป็นการสร้างความต่างไปจาก พรรครวมไทยสร้างชาติ ในยุคก่อนหน้านี้
คนในแวดวงการเมืองย่อมจดจำยอดคำเท่ของ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่อ้างเหตุผลหนึ่งในการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติก็เพื่อมิให้ใครสร้างสถานการณ์ “บีบไข่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ณ วันนี้ คำยืนยันของ “ว่าที่” เลขาธิการพรรคที่ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะต้องเสนอหัวหน้าพรรคคือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นแคนดิเดต “นายกรัฐมนตรี” จึงแจ่มชัด
แจ่มชัดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติมิได้เป็น “พรรคสำรอง” หรือเป็น “พรรคนั่งร้าน” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ไปต่อ”
ถามว่าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ถามว่านักการเมืองคนหนึ่ง ปัจจัยอะไรจะเป็นปัจจัยชี้ขาดในตัวตนและความมีศักดิ์ศรีในฐานะพรรคการเมือง ในฐานะนักการเมือง
คำตอบมิได้อยู่ที่ “คำพูด” หากแต่อยู่ที่การลงมือ “ปฏิบัติ”
สังคมรับรู้พรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว รับรู้พรรคภูมิใจไทยมาแล้ว และต่อไปจะรับรู้พรรครวมไทยสร้างชาติอีกพรรคหนึ่ง
เมื่อท่านพูด คนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำ คนจะเชื่อ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง