รูปธรรม อำนาจ ทางการเมือง คำตอบ พุ่งสู่ ศาลรัฐธรรมนูญ
ในที่สุดแล้ว การโยนคำตอบสุดท้ายอยู่ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เท่ากับเป็นการยืนหยัด เท่ากับเป็นการยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมของยุทธการ “รุก” ทางการเมือง
ความหมายก็คือ เอาคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” มาเป็น อาวุธมาเป็นเครื่องมือในทางการเมือง
สะท้อนภาพลักษณ์แห่งการเคารพต่อหลักแห่ง “กฎหมาย”
ไม่เพียง เพราะมีความมั่นใจในเหตุผลและความชอบธรรมที่การดำรงอยู่ในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” มิได้เริ่มต้นจากเดือนสิงหาคม 2557 หากแต่เริ่มต้นจากเดือนเมษายน 2560 และเริ่มต้นได้แม้กระทั่งจากเดือนมิถุนายน 2562
จึงเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถ “ไปต่อ” ได้อีกอย่างน้อยที่สุดก็ 2 ปีและอย่างมากที่สุดก็ยาวไปเลยจนถึงปี 2570 ตามเส้นทางของรัฐธรรมนูญ
และที่สำคัญอย่างยิ่งยวด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความมั่นใจใน “อำนาจ” และ “ความชอบธรรม” จากที่รับผิดชอบบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์ “รัฐประหาร”
ไม่เพียงรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 หากหมายรวมถึงตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
แม้จะถูกประเมินว่ารัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 อาจมีบางส่วนดำรงอยู่ในแบบ “เสียของ” แต่ความมั่นใจเป็นอย่างสูงเห็นได้ผ่านรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
รูปธรรมอันเด่นชัดอย่างที่สุดคือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ซึ่งเป็น “รัฐธรรมนูญ” ที่ “DESIGN มาเพื่อพวกเรา”
เป็นหลักประกันให้กับทุกรูปแบบของการเลือกตั้ง เป็นหลัก ประกันแห่งการดำรงอำนาจผ่านกลไกทางการเมืองอย่างที่เรียกว่า “องค์กรอิสระ”
การมอบความไว้วางใจให้กับคำวินิจฉัยโดย “ศาลรัฐธรรมนูญ” คือ 1 ในความมั่นใจในแนวโน้มและความสามารถในการ “ไปต่อ” ได้อย่างแท้จริง
เป็นความมั่นใจที่จะเดินหน้าเข้าเผชิญกับสถานการณ์ในวันที่ 24 สิงหาคมได้อย่างเยือกเย็น
ปมแห่งปัญหามิได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะบริหารจัดการผลสรุปก่อนวันที่ 24 สิงหาคมอย่างไร หากแต่อยู่ที่ว่าจะดำเนินไปในกระสวนแบบใดภายหลังวันที่ 24 สิงหาคม
เนื่องจากผลสะเทือนจากกรณีวันที่ 24 สิงหาคมใหญ่หลวง
หากจับจาก “ปฏิกิริยา” ในทางสังคมและการเมืองที่ปรากฏมี ความเป็นไปได้ที่แม้จะมีอำนาจก็มิอาจ ”ปกครอง” ได้เหมือนเดิม
เพราะมีหลาย “ปัจจัย” ที่ออกมาท้าทาย “อำนาจ” โดยตรง