บทสรุป จาก ศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็น เพิ่มปัญหา ขึ้นใหม่
ไม่ว่าจะเป็นการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยเบื้องต้นโดยคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ถามว่า “เป้าหมาย” โดยพื้นฐานคืออะไร ถามว่าเป้าหมายของ “คำวินิจฉัย” ที่ออกมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม คืออะไร
ตอบได้อย่างเด่นชัดทั้งจากรากฐานการยื่นของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และแม้กระทั่งคำวินิจฉัยที่ออกโดยคณะตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญก็เพื่อที่จะเป็นคำตอบและยุติปัญหา
หากจับจาก “ปฏิกิริยา” ในทางสังคม ไม่ว่าจะมาจากศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมาจากทางด้านของพรรคร่วม ฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะมาจากมวลชนหลากหลายกลุ่ม
สะท้อนให้เห็นด้านหนึ่งถึงความต้องการที่จะ” เดินหน้า” โดย เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บนสถานะแห่งความเป็น “นายกรัฐมนตรี”
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง จากด้านของมวลชน จากด้านของ
พรรคร่วมฝ่ายค้านก็มากด้วยความแคลงคลางกังขา อันก่อให้เกิดคำถามในลักษณะแตกปลายขยายตัวเป็นลำดับ
เท่ากับยืนยันโดยพื้นฐานว่า “คำตอบ” อันมาจาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” ยังไม่สามารถยุติปัญหาและความขัดแย้งลงได้
มีบทสรุปจากหลายฝ่ายถึงคำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าโดยพื้นฐานแล้วต้องการผ่อนปรนปัญหามิให้ร้าย แรงมากยิ่งไปกว่าที่เห็นและเป็นอยู่
การพักการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนกับเป็นการชักฟืนออกจากกองไฟ
น่าเสียดายที่มาตรการเช่นนี้ไม่บรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เนื่องจากความหวาดระแวงยังครอบคลุมในทาง ความคิดดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
จึงเหมือนกับจะยุติปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่กลับเพิ่มปัญหาโดยรวมศูนย์ไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ามาแทนที่
เท่ากับเป็นการราด “น้ำมัน” เข้าไปใน “กองไฟ” หนักหน่วงขึ้น
1 วันภายหลังการออก “คำวินิจฉัย” ของศาลรัฐธรรมนูญจึงยังมิได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมไทย ตรงกันข้าม กลับสร้างข้อกังขา และนำไปสู่คำถามตามมาอีกมากมาย
ไม่ว่าเหตุการณ์ที่ “เชียงใหม่” ไม่ว่าเหตุการณ์ที่ “ดินแดง”
สร้างความหวั่นไหว ก่อให้เกิดความวิตกเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมีสถานการณ์เลวร้ายใดทางการเมืองตามมาอีก
ความพยายามจะ”สรุป”กลับกลายเป็นสร้าง “ปัญหา” ขึ้นใหม่