กก.นักนิติฯสากล-แอมเนสตี้ จี้จุดอ่อน ‘พ.ร.บ.อุ้มหาย’ ยังขัดสนธิสัญญา คืบหน้าแต่ไม่ครบ

กก.นักนิติฯสากล-แอมเนสตี้ จี้จุดอ่อน ‘พ.ร.บ.อุ้มหาย’ คืบหน้าแต่ไม่ครบ บกพร่องหลายบทบัญญัติ ยังขัดสนธิสัญญา

สืบเนื่องกรณี ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา และเนื่องในวันผู้สูญหายสากล 30 สิงหาคม ของทุกปี

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เห็นว่ามติเห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย (ร่างพระราชบัญญัติ ฯ) ที่ล่าช้ามาเนิ่นนาน นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการป้องกันและเยียวยาความเสียหายจากอาชญากรรมเหล่านี้ หากแต่ทั้ง 2 องค์กรรู้สึกผิดหวังที่ยังคงมีข้อบกพร่องในบางมาตราที่ทำให้กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์

เอียน เซเดอร์แมน (Ian Seiderman) ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายและนโยบายของ ICJ กล่าวว่า การผ่านร่างกฎหมายเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าประเทศไทยจริงจังกับการดำเนินการตามหน้าที่ ในการปฏิรูปกฏหมายเพื่อนำความยุติธรรมมาสู่เหยื่อของอาชญากรรมที่ร้ายแรงเหล่านี้ และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

“อย่างไรก็ตาม ร่างพระราชบัญญัติ ฯ ฉบับนี้ยังไม่มีบทบัญญัติครบถ้วนหรือถูกต้องตามข้อกำหนด ของสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี ทำให้ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่ต้องบังคับใช้พระราชบัญญัติในลักษณะที่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment หรือ UNCAT) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR)” เอียน กล่าว

Advertisement

เอียน ระบุด้วยว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ICJ และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะมากมายเกี่ยวกับเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติ ฯ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย

ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของ UNCAT และ ICCPR เมื่อปี พ.ศ.2555 ประเทศไทยยังได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance หรือ ICPPED) ซึ่งสะท้อนถึงคำมั่นที่จะป้องกันและยับยั้งอาชญากรรมการบังคับให้บุคคลสูญหาย อย่างไรก็ตาม คำมั่นของประเทศไทยที่จะให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคี ICPPED ให้แล้วเสร็จกลับยังไม่ถูกดำเนินการจนกระทั่งปัจจุบัน

ร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร สมาชิกรัฐสภา และผู้เชี่ยวชาญ ที่ผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดความผิดทางอาญาแก่การทรมาน การประติบัติหรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และการบังคับบุคคลให้สูญหายมีความสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฯ เริ่มแรกนั้นประกอบด้วยบทบัญญัติที่เป็นปัญหาจำนวนมาก แต่บุคคลเหล่านี้ได้ร่วมกันผลักดันจนเกิดการปรับปรุงข้อบกพร่องที่สำคัญบางประการ

Advertisement

ด้าน เอ็มเมอร์ลีน จิล รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า เรายอมรับว่าข้อบกพร่องบางประการที่เราได้ระบุในข้อเสนอแนะก่อนๆ ได้รับการแก้ไขแล้วในร่าง พ.ร.บ.ฉบับที่ผ่านมติรับรอง ยกตัวอย่างเช่น เรายินดีที่ร่างฉบับนี้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี พร้อมทั้งมีบทบัญญัติที่รับรองให้อาชญากรรมการบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นอาชญากรรมต่อเนื่อง

“ในอนาคต ประเทศไทยควรทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อไป และดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์” เอ็มเมอร์ลีนกล่าว

โดยทั้ง 2 องค์กร ยังเรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินการตามคำมั่นว่าจะทำการให้สัตยาบันแก่อนุสัญญา ICPPED โดยไม่ล่าช้า พร้อมทั้งแก้ไขข้อบกพร้องในร่างพระราชบัญญัติ เพื่อรับประกันการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างครบถ้วน

ทั้งนี้ สืบเนื่อจาก 15 ปีหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นรัฐภาคีอนุสัญญา UNCAT สภาผู้แทนราษฎรแห่งประเทศไทย ได้มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามที่วุฒิสภาเสนอ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2565

ร่าง พ.ร.บ.นี้ คาดว่าจะได้รับการลงนามพระปรมาภิไธยโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและมีผลบังคับใช้เมื่อครบกำหนด 120 วันนับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ในปัจจุบัน ร่างพระราชบัญญัติฯ ยังคงประกอบด้วยบทบัญญัติบางมาตราที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ ข้อกังวลหลัก ได้แก่

• นิยามของอาชญากรรมการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายไม่สมบูรณ์หรือไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และ ‘การกระทำให้สูญหาย’ โดยผู้กระทำการที่ไม่ใช่ภาครัฐ ตามที่ระบุในมาตรา 3 ของ ICPPED ไม่ได้ถูกกำหนดไว้

• การตัดมาตราที่ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมออกจากร่างพระราชบัญญัติฯ

• การขาดตัวแทนเหยื่อการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายในองค์ประกอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และการถอดถอนหน้าที่ของคณะกรรมการในการตรวจสอบสถานที่ควบคุมตัว

• การถอดถอนบทบัญญัติเกี่ยวกับการไม่รับฟังคำให้การหรือข้อมูลอื่นอันได้มาจากการทรมาน การประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี หรือการบังคับบุคคลให้สูญหาย เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี และ

• การขาดบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกำหนดอายุความของอาชญากรรมการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย อันสอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAT และ ICPPED โดยสมบูรณ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image