การรุกจาก ประวิตร วงษ์สุวรรณ การรับจาก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปยังจังหวัดฉะเชิง เทราส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งต่อสถานะและการดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ก่อให้เกิดคำแถลงจากกระทรวงกลาโหมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะลงในลักษณะเดียวกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ ‘ตั้งรับ’
ต้องยอมรับว่า การลงพื้นที่ที่จังหวัดฉะเชิงเทราของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นการลงไปโดยประสาน 2 สถานะทางการเมืองเข้าด้วยกัน
คือ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ที่เปล่งประกายและสร้างสีสันเป็นอย่างสูง คือ ผลสะเทือนจากสถานะแห่งความเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะผ่าน ส.ส.ไม่ว่าจะผ่านมวลชนในยูนิฟอร์มของพรรค
การชูป้าย ‘เรารักลุงป้อม’ อาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรม ดาย่อมเป็นเสียงตะโกนให้เป็น ‘นายกรัฐมนตรี’ ตัวจริง
เสียงนี้ย่อมก้องไปถึงหู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอน
การลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เด่นชัดอย่างยิ่งว่าเป็นการลงพื้นที่บนภาระหน้าที่ของรัฐมน ตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
จึงขาดหายไปจากสถานะแห่งความเป็น ‘นายกรัฐมนตรี’ และที่สำคัญคือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ
จึงยากเป็นอย่างยิ่งที่รัฐมนตรีอย่าง นายสุชาติ ชมกลิ่น อย่าง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อย่าง นายสันติ พร้อมพัฒน์ จะไปยืนต้อนรับเหมือนที่เคยปฏิบัติ
ขณะเดียวกัน แม้จะเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการรักษา ความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) แต่นั่นก็เป็นการดำรงตำแหน่งบนฐานแห่งความเป็นนายกรัฐมนตรี
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเป็นการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงถูกจับตามอง จึงจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง
ทุกก้าวย่างของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ออกไปในงานโชว์อาวุธ รวมถึงการเรียกรัฐมนตรีจำนวนหนึ่งไปพบ ณ ห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เด่นชัดยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการ ‘ไปต่อ’
เป็นความต้องการบนรากฐานที่จะต้อง ‘พัก’ การปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะ ‘นายกรัฐมนตรี’ ไปอย่างน้อยก็ 1 เดือน
พื้นที่จึงอยู่ในความยึดครองของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ