จตุพรลั่น มีปัญญาเอาคนมาเท่าไหร่ก็ได้ แค่รอเวลาที่ใช่ วันนี้จงใจมาแค่นี้ ย้ำก่อการ-จุดประกายไม่ต้องใช้คนเยอะ ยันไม่กดดันศาล รธน. หวังนัดหอประชุมธรรมศาสตร์ แต่ยังเจรจาไม่บรรลุ
เมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่แยกราชประสงค์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา นัดหมายจัดกิจกรรม ‘หยุดอำนาจ 3 ป. นับหนึ่งประเทศไทย’ (อ่านข่าว คณะหลอมรวมฯ บุกแยกราชประสงค์ ชูป้าย ไม่เอา 3 ป. ขอ ‘หยุดทำร้ายประชาชน’)
ในช่วงการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตอนหนึ่ง ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าการชุมนุมครั้งนี้จะทำให้ประชาชนเข้าใจถึงปัญหาของ 3 ป.อย่างไร นายจตุพรกล่าวว่า ต้องยอมรับความจริงว่าคนไทยในปัจจุบันนั้นถูกแบ่งแยกในชนิดที่ว่าไม่สามารถรวมตัวกันติด จึงเป็นความโชคดีของ 3 ป. เป็นความโชคร้ายของคนไทยและประเทศไทย เพราะฉะนั้นคณะหลอมรวมประชาชนจึงบอกว่าประเทศไทยต้องมาก่อน ดังนั้น ระยะเวลาในการต่อสู้จะมีระยะเวลาในการที่จะแตกหักกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการ ‘ก่อการ’ เป็นการจุดประกาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ ประชาชนเป็นจำนวนมาก
“การก่อการนั้นคือการจุดประกายด้วยความชอบธรรมในส่วนของภาคประชาชน และชี้ให้เห็นว่าบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ก็ถูกต้ม ท้ายที่สุดไม่มีการเลือกตั้ง บ้านเมืองจะปล่อยเป็นสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ได้
วันนี้นักการเมืองพูดเพียงว่าใครจะชนะ แต่ผมกำลังจะบอกว่าไม่มีใครชนะเลย เพราะไม่มีการเลือกตั้ง คณะ 3 ป.ยังครองแผ่นดินนี้ไปดังเดิม และไม่มีวันที่จะละมือ
วันนี้อาจมีการอิงกันระหว่างการเสพตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคนที่เป็นมา 8 ปี กับคนที่รักษาการมา 11 วัน สุดท้ายอำนาจไม่เข้าใครออกใคร กำลังเห็นสัจธรรม เพียงแต่ว่าอำนาจยังอยู่ใน 3 ป.” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพรกล่าวต่อไปว่า ตนเชื่อว่าเหตุการณ์ในประเทศไทยคงอีกไม่กี่วันสถานการณ์พัฒนาไปตามลำดับ พวกตนมีบทเรียนคนเดินทัพหลักหมื่นหลักแสนกันมาเป็นปี สุดท้ายคนหลายแสนก็จัดการไม่ได้ แต่ความชอบธรรมเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น ที่เราไปตามที่ต่างๆ เพื่ออธิบายว่าความไม่ชอบธรรมของ 3 ป.นั้นอยู่ตรงไหน อย่างไร และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในรอบนี้บรรดาองคาพยพของ 3 ป.มีจำนวนน้อยมากที่จะออกมาสวนคณะหลอมรวมประชาชน เพราะเขารู้ว่าถ้าสวนมาแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น พวกตนจะเดินจนกว่าประชาชนได้บรรลุชัย ซึ่งคิดว่าอีกไม่นาน
“พวกผมและคณะเราได้ปรึกษาหารือโดยตลอด และการปรึกษาหารือของพวกเราในแต่ละครั้งและจุดชี้ขาดในแต่ละครั้ง ดังนั้น พวกผมมีปัญญาที่จะเอาคนมาจำนวนเท่าไหร่อย่างไรก็ได้ แต่ว่าเมื่อถึงเวลาจำเป็น แต่ขณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีประชาชนเป็นจำนวนมาก อยู่ที่ว่าการทำความเข้าใจ ว่าประชาชนคนไทยมีความเห็นเป็นหนึ่งเดียว คือเอา 3 ป.ออกไป หยุดอำนาจพร้อมเพรียงกันพร้อมทั้งประเทศเมื่อไหร่วันนั้น แทบจะไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่นัดวันเวลา ผมเชื่อวันนั้นก็มีแตกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการใช้พลังที่มากในเวลาที่ไม่ใช่ ยังรออยู่ได้ แต่พอเวลาที่มันใช่ การเตรียมการ ความพร้อมทั้งหมดนั้นก็จะได้แลเห็นกัน วันนี้เราจงใจคนเท่านี้ และสถานที่ไหนจงใจคนเท่าไรนั้น เรากำหนดได้” นายจตุพรกล่าว (อ่านข่าว จตุพร ย้อนอดีต ชี้ จำนวนคนไม่ใช่จุดชี้ขาด ผ่านมาแล้วม็อบเป็นแสน ทำนายปิดสวิตช์ส.ว.เจอคว่ำแน่)
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะไปจัดที่ลานคนเมืองเหมือนเดิมหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า จะไปลานคนเมือง หรือไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือทำเนียบรัฐบาล เป็นไปได้ทั้งสิ้น รวมกระทั่งพื้นที่ในต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้กำลังประสานจุด อาจจะไปปราศรัยต่างจังหวัด หรือในพื้นที่มหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังเจรจากับผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งรัฐบาลไปกดทับอยู่
“ตอนแรกตั้งใจว่าสัปดาห์หน้าจะใช้หอประชุมธรรมศาสตร์ ตอนนี้การเจรจายังไม่บรรลุผล เราต้องการไปเช่าใช้ตามปกติ เพื่อที่จะบอกว่าในบางรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงของเครือข่ายรามคำแหงฯ ก็กำลังมีการจัดกิจกรรม เราอาจไปร่วม แต่ทุกที่เพื่อเป็นการบอกให้เห็นว่าคณะหลอมรวมพร้อมจะไปทุกที่เพื่อรอวันเวลาที่มันใช่” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพรกล่าวต่อไปว่า ตนเชื่อว่าเมื่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณี พล.อ.ประยุทธ์ออก ไม่ว่าผลลัพธ์บวกหรือลบอย่างไรก็ตามนั้นจะเป็นการเริ่มต้นการแตกหักในสังคมไทยกันอยู่แล้ว คณะหลอมรวมจุดยืนชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่กดดันศาลรัฐธรรมนูญ
“ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไรก็ว่ากันไปเต็มที่ เราเองก็รอผลหลังจากนั้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นว่าคนไทยจะคิดอ่านอย่างไร ต่อไปนี้ คนไทยต้องยอมรับความเป็นจริงว่าตื่นยาก แต่ตื่นมาแล้วจะเอาเรื่อง เอาเรื่องเสร็จก็จะไปหลับต่อเพื่อตื่นยากต่อไป ดังนั้น เราต้องเข้าใจ ผ่านมาช่วงชีวิตแล้ว” นายจตุพรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเวลา 19.00 น. มีผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งร่วมนั่งฟังการปราศรัยที่เป็นไปอย่างดุเดือด โดยเว้นพื้นที่ด้านหน้าระหว่างเวทีให้ทางสัญจรได้ปกติ
