ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
การเมืองเดือน‘ก.ย.’
ลุ้นผลคดีนายกฯ8ปี
ขั้วรัฐบาลจัดทัพไปต่อ
การเมืองเดือนกันยายนยังคงต้องลุ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่ กรณี พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี หรือไม่ กระบวนการพิจารณาคดีหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย พร้อมกับสั่งให้ชี้แจงในฐานะผู้ถูกร้องภายใน 15 วัน ขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ อดีตเลขานุการ กรธ. ส่งคำชี้แจงเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการพิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ซึ่งมีประเด็นของเรื่องเอกสารคำชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญ ของนายมีชัยหลุดผ่านทางโซเชียลมีเดีย
โดยมีสาระสำคัญว่า การดำรงตำแหน่งนายกฯตามบทเฉพาะกาลมาตรา 264 สามารถนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯดังกล่าว เข้ากับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ หรือไม่นั้น โดยเอกสารคำชี้แจงของนายมีชัยระบุว่า การนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯต้องเริ่มนับจากวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้
คือตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 รวมทั้งชี้แจงถึงการเผยแพร่เอกสารบันทึกการประชุม กรธ.ครั้งที่ 500 วันที่ 7 กันยายน 2561 ได้ด้วยว่า ส่วนที่เกี่ยวกับคำกล่าวของข้าพเจ้า ขอเรียนว่าเป็นการจดรายงานที่ไม่ครบถ้วน สรุปตามความเข้าใจของผู้จด กรธ.ยังมิได้ตรวจรับรองรายงานการประชุมนั้น เพราะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย และ กรธ.ได้ประกาศสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 12 กันยายน 2561 ความดังกล่าวไม่ครบถ้วน อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ มีข้อผิดพลาดอยู่หลายประการ รายงานการประชุมดังกล่าวจึงยังไม่อาจใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานเป็นข้อยุติได้ กรธ.ได้ตระหนักในเรื่องนี้จึงได้กำหนดให้พิมพ์ข้อความไว้ที่หน้าปกรายงานการประชุมทุกครั้งว่า บันทึการประชุมนี้ กรธ.ยังไม่ได้รับรอง ผู้ใดนำไปใช้หากเกิดความเสียหายใดๆ ผู้นั้นรับผิดชอบเอง
สอดคล้องเอกสารคำชี้แจงของทีมกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ส่งคำชี้แจงถึงศาลรัฐธรรมนูญ และมีรายการหลุดออกมาผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยมีสาระสำคัญต่อการชี้แจงวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าการดำรงตำแหน่งนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ คือ วันที่ 6 เมษายน 2560 และสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ที่มีนายมีชัย พร้อมกับอดีต กรธ.รวม 7 คน ร่วมให้ความเห็นว่า สำหรับข้อกำหนดห้ามเป็นนายกฯเกิน 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 ว่าเป็นบทบัญญัติกฎหมายที่เป็นการจำกัดสิทธิ ดังนั้น ต้องตีความอย่างแคบและโดยเคร่งครัด จะตีความอย่างกว้าง ให้หมายความรวมถึงการเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่นมิได้ นั่นเท่ากับว่าจะต้องตีความการดำรงตำแหน่งนายกฯตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ ซึ่งแนวทางคำชี้แจงของนายมีชัย และทีมกฎหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ
ต้องเริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ หากมองถึงนัยยะทางการเมือง ย่อมเป็นผลดีที่อดีตประธาน กรธ. ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ยืนยันถึงการตีความวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่านับจากเมื่อใด แต่กลับมีเอกสารบันทึกการประชุม กรธ.ครั้งที่ 501 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ขึ้นมา โดยสาระสำคัญของบันทึกการประชุม กรธ.ครั้ง 501 คือ การรับรองบันทึกการประชุม กรธ.ครั้งที่ 500 ว่ามีความครบถ้วน ซึ่งดูจะย้อนแย้งและสวนทางกับเอกสารคำชี้แจงของนายมีชัยต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่าการประชุม กรธ.ครั้งที่ 500 เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายและเจ้าหน้าที่ที่บันทึกการประชุม จดบันทึกไม่ครบถ้วน จนนำมาซึ่งคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้สำนักงานสภาผู้แทนราษฎร จัดส่งบันทึกการประชุม กรธ.ครั้งที่ 501 ให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมด้วย
ส่วนผลของคำวินิจฉัยในคำร้อง พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกฯครบ 8 ปี หรือไม่นั้น ไม่ว่าผลจะออกมาในแนวทางบวก หรือลบ ย่อมไม่สามารถก้าวล่วงในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับกลุ่มผู้ถืออำนาจในฝ่ายรัฐบาล ย่อมต้องตระเตรียมแผนและกลยุทธ์ในการเดินหน้าต่อทางการเมือง ด้วยการเตรียมพร้อมทั้งขุนพล โครงสร้าง นโยบายพรรค
รวมทั้งเป้าหมาย ให้พร้อมสำหรับการเดินหน้า โดยผู้มีอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) วางเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้าไว้ว่าจะต้องได้เสียง ส.ส. 150 เสียง เพื่อเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมในการขับเคลื่อนงานให้เกิดความต่อเนื่อง ขณะเดียวกันอำนาจนำภายในพรรค พปชร.ยังคงวางตัว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี นั่งเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. ใช้บารมีทางการเมืองนำกลุ่ม ก๊วน ภายในพรรค พปชร. ให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และหาก พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามามีบทบาทภายในพรรคจะมีการเตรียมตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษาพรรคไว้รองรับ สำหรับทิศทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ หากรอดพ้นจากคำร้องการดำรงนายกฯครบ 8 ปี หากออกมาในแนวทางสามารถเป็นนายกฯได้ถึงปี 2568 ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2566 หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นนายกฯ จะสามารถดำรงตำแหน่งนายกฯได้เพียงครึ่งเทอม หรือประมาณเกือบ 2 ปี ซึ่งจะครบเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งนายกฯครบ 8 ปี ในปี 2568 ฝั่งผู้มีอำนาจจึงเตรียมการวางตัวแคนดิเดตนายกฯของพรรค พปชรในการเลือกตั้งครั้งหน้าไว้ 2 คน ชื่อแรกคือ พล.อ.ประยุทธ์ และชื่อที่สองคือ พล.อ.ประวิตร ไว้อีกหนึ่งชื่อเพื่อรับช่วงบริหารในตำแหน่งนายกฯต่อในช่วงปีที่เหลือจนกว่าจะครบวาระ 4 ปี
ส่วนขั้วอำนาจไหนจะได้ไปต่อในทางการเมือง ผลการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ “คำตอบ”