ทำไมจึงมีการมองและสรุปว่า การออกโรงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเรื่องของ”ชาวนา” เป็นการออกโรงที่สำคัญ
คำตอบ 1 เพราะว่าเป็น “จุดเปลี่ยน”
จุดเปลี่ยนในที่นี้มิได้เริ่มต้นจาก “ความกล้า” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการออกมาและประกาศตัวอย่างด้านเดียว
หากมองจากด้านของ “คสช.”ประกอบด้วย
ยังจำได้ไหม การขายข้าวสารในลักษณะเดียวกันกับกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นั่นก็คือ การริเริ่มของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์
ผลก็คือ ท่าทีอันแข็งกร้าวของ”คสช.” ไม่เห็นด้วย ไม่ยินยอมกระทั่ง”โฆษก”จากทำเนียบรัฐบาล จากคสช.ออกมาโจมตีอย่างดุดัน เข้มข้น
ในที่สุด นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ก็ต้องยุติ
แต่พอการขายข้าวสารถุงตกมาอยู่ในมืออันอ่อนนุ่มของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย งดงาม
คำตอบ 1 ก็คือ จุดเปลี่ยนนี้แสดงลักษณะ”ไม่เหมือนเดิม”
หากติดตามบทบาทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเกาะติดก็จะประจักษ์ในสภาพความเป็นจริงทางการเมืองที่แปรเปลี่ยน
“ความกลัว” ไม่เหลืออยู่
เพราะหากกลัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่เดินทางไปเยี่ยมมวลชนซึ่งเป็นเกษตรกรทำนา
ไม่ว่าจะที่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์
เพราะหากกลัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ประกาศใช้พื้นที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าแฟชั่น ไอส์แลนด์ ขายข้าว
เพราะหากกลัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ขยายพื้นที่จากเขตในกรุงเทพมหานคร ไปยังห้างสรรพสินค้า อิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง สมุทรปราการ
การเลือกพื้นที่สำโรง สมุทรปราการ แสดงนัยยะแหลมคมในทางการเมือง
เพราะนี่คือพื้นที่ของ”พรรคเพื่อไทย”
การเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจมิได้ดำเนินการในนามพรรคเพื่อไทย
คล้ายกับเป็น “เรื่องส่วนตัว”
แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งมีอดีตรัฐมนตรี อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้าไปแวดล้อมอย่างอบอุ่น
และมี”มวลชน” เข้ามาเป็น”จิตอาสา”
ไม่ว่าจะมาจาก อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์
รวมถึงชาวนาจาก “พิษณุโลก”
นี่ย่อมท้าทายต่อประกาศและคำสั่งของคสช.ที่ห้ามการชุมนุมเกิน 5 คนอย่างแหลมคมยิ่ง โดยที่คสช.เองก็ไม่เคยประกาศห้ามและยับยั้งการเคลื่อนไหว
นี่คือ “จุดเปลี่ยน”อันสัมผัสได้จาก”คสช.”
เป็น”จุดเปลี่ยน”อันทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความกล้า
