‘ส.ศิวรักษ์’ ชูผลงานปรีดี ทำให้คนเท่ากัน ‘ปราโมทย์’ ชี้ อธิปไตยไม่ใช่ของฟรีต้องรักษาไว้อย่าให้ใครขโมย
เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่ห้องประชุมมูลนิธิอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ คณะหลอมรวมประชาชน นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา และกลุ่มประเทศไทยต้องมาก่อน จัดงานเสวนา “นับหนึ่งประเทศไทย ด้วยอธิปไตยของปวงชน หลัง 30 กันยายน”
เมื่อเวลา 13.00 น. นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ เริ่มเปิดการเสวนาว่า แค่คำว่า ประเทศไทย ก็ผิดเสียแล้ว ประเทศนี้ชื่อว่าประเทศสยาม เพราะสยามเป็นดินแดนที่คนผิวน้ำตาลและผิวเหลืองอยู่ เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงสคราม โดยคำแนะนำของ หลวงจิตรวาทการว่าชนชาติไทยยิ่งใหญ่ที่สุด เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยเมื่อปี 2481 นี่เอง ประเทศไทยมากับเผด็จการ พี่น้องของเราที่อยู่ 4 จังหวัดภาคใต้เขาไม่ใช่คนไทยแต่เป็นคนมลายู เป็นมุสลิม ประเทศนี้เป็นของเขาก็เท่ากับต้องเป็นของเรา เพราะฉะนั้นประการแรกต้องเปลี่ยนชื่อกลับเป็นประเทศสยามไม่ใช่ประเทศไทย คำว่าประเทศไทยฟังดูเหมือนเราเอาเปรียบประเทศคนข้างล่าง และเราส่งกองทัพไปอยู่ 3-4 จังหวัดทางภาคใต้ แม่ทัพนายกองเหล่านั้นไม่เคยออกไปใยดีคนข้างล่างเลย อีกนัยหนึ่งคือคนไทยยังเอาเปรียบชนกลุ่มน้อยเป็นอย่างยิ่ง
นายสุลักษณ์ กล่าวต่อในเรื่องอธิปไตยของปวงชน ว่าอธิปไตยแปลว่าความเป็นใหญ่และคนที่สำคัญที่สุคคือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และภายใน 3 วัน พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองฉบับแรกออกมาว่าอำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรชาวสยาม แต่อธิปไตยช่วยให้คนเท่าเทียมกันทั้งหมดในทางกฎหมาย แต่ไม่พอเพราะยังมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน อ.ปรีดีจึงเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจให้คนรวยกับคนจนใกล้เคียงกัน ข้าราชการมีบำนาญได้ ชาวไร่ชาวนาก็ต้องมีบำนาญได้ เพราะชาวไร่ชาวนาเป็นคนส่วนใหญ่ของบ้านเมืองในเวลานั้น แต่เวลานั้นจนถึงเวลานี้ชาวไร่ชาวนาก็ยังถูกเอาเปรียบ จากนั้นนายสุลักษณ์ได้กล่าวว่า นี่เป็นเพียงการเปิดเสวนาเท่านั้น จากนี้จะได้ฟังการเสวนาจากคนหนุ่มสาว

ต่อมาเวลา 13.15 น. รศ.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการรัฐศาสตร์และนักวิชาการอิสระ กล่าวเสวนาว่า หากเราจะพูดเรื่องอธิปไตยกันเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าเรื่องอธิปไตยมีหลายระดับ ระดับบุคคล ระดับชุมชมชน ระดับประเทศ บางทีก็ไม่อาศัยกฎหมาย บางทีก็อาศัยกฎหมาย อธิปไตยแปลว่าความเป็นเจ้าตนเอง อยากทำอะไรก็ทำได้ แต่ผิดกฎหมาย กฎหมายก็เล่นงานเรา แต่ว่าอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของบุคคล ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ทั้งหมดนี้ถ้าหากไม่มีอำนาจอธิปไตยในมือแล้วมากหรือน้อยลดหลั่นกันตามสถานที่และบทบาท ความเจริญและการพัฒนาจะเกิดกับมนุษยชาติไม่ได้ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นกัลยาณมิตรอาวุโสที่ตนเคารพมาก และมีวิถีชีวิตที่ต้องไปอยู่ด้วยกันที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งอ.ป๋วยได้ใช้ชีวิตของท่านต่อสู้เพื่อเสรีภาพ โดยเฉพาะเสรีภาพของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่นับว่าจะเป็นเสรีภาพของผู้หญิงหรือการศึกษา แม้แต่เสรีภาพของเด็กเล็กที่ยังไม่เกิดมา โดยอ.ป๋วยให้ความสำคัญกับอธิปไตยหรือเสรีภาพอย่างมาก ทุกคนอาจจะมาสนใจลมหายใจของตนเองเพราะนึกว่าได้มาฟรี ฉันใดก็ฉันนั้น เสรีภาพหรืออธิปไตยเรานึกว่าเป็นของได้ฟรี แต่ความจริงในขณะที่เราเฉยๆอยู่มีคนอื่นขโมยอธิปไตยเราไป บังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่มีการเลือกตั้งมา 7-8 ปีแต่เราเสียภาษีเหมือนเดิม เราควรจะแสดงออกหากอยากรักษาอธิปไตยของเรา
รศ.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจเป็นนายกฯนั้นตนได้เขียนบทสดุดีพล.อ.ประยุทธ์ 1 บท ชื่อว่า 13 สยามไทย ซึ่งเป็นการแสดงความยินดีพร้อมๆกับแสดงความเสียใจกับประเทศไทย ตนไม่ได้รังเกียจชื่อพล.อ.ประยุทธ์ แต่ตนคิดว่าความชอบธรรมในสังคมหรือความชอบธรรมในการปกครองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“คนไทยมักจะไม่รู้สึกตัวเพราะนึกว่าได้มาฟรีๆแต่ความจริงไม่ใช่ เราถูกยึดเอาความเป็นเจ้าของตัวเองไป ที่เราต้องทำในสิ่งที่ถูกบังคับเพราะเราขาดอำนาจอธิปไตยในตนเอง เราไม่สามารถพูดได้หรือคัดค้านได้ นี่เป็นหลักสำคัญที่อยากให้ทุกคนได้ทราบไว้ว่าความเป็นอิสระ ความเป็นตนเองมันไม่ใช่ดีเฉพาะต่อตัวเรา แต่มันดีต่อสังคม ลูกหลาน ประชาคม และประเทศชาติเป็นส่วนรวม” รศ.ปราโมทย์ กล่าว